เป็นเรื่องราวที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ สำหรับการเสียชีวิตของ น้องน้ำแข็ง เด็กหญิงวัย 8 ขวบ ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งกระดูกตั้งแต่ 6 ขวบ ที่ผ่านมาพยายามรักษา ด้วยการให้เคมีบำบัด 12 ผ่าตัดหน้าท้อง 5 ครั้ง และการฉายแสง 31 ครั้ง จนมะเร็งหายไปช่วงปลายปี 2564 เรื่องราวของน้องถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก พิมพ์ธิฌาย์ ฤทธาธนาเศรษฐา

แต่เมื่อเดือนเมษายน 2565 มะเร็งได้กลับมาอีกครั้ง ทำให้ทั้งน้องและครอบครัวเตรียมใจที่จะให้น้องจากไปแบบไม่ทรมาน รวมทั้งมีพิธีซ้อมตาย เป็นการเตรียมจิตให้รับรู้และพร้อมรับมือกับความตาย ซึ่งคลิปการซ้อมตาย น้องน้ำแข็งนอนอยู่บนเตียงโดยมีคุณพ่ออยู่ข้างๆ น้องถือพวงมาลัย บอกว่า “ถ้าหนูตายไป ขอบคุณเทวดาที่คอยดูแลหนูมาตลอด หนูอยากให้ท่าน ให้พระพุทธเจ้า นำทางหนูไปสู่นิพพาน และถ้าหนูตายไป ขอให้ช่อดอกไม้นี้นำทางหนูไปสวรรค์ ไปพบพระพุทธเจ้า สาธุ”

หลังจากทำพิธีซ้อมตาย วันต่อมาคือ 16 มิถุยายน น้องได้เสียชีวิตลง คุณแม่ระบุว่า น้องไปด้วยใจที่เตรียมพร้อม ระหว่างรอดูสถานการณ์ของร่างกายที่สร้างความเหนื่อย หายใจไม่ทัน ต้องนอนแบบนั่งมาหลายวัน หายใจแรงโยกทั้งไหล่ทั้งคอ และความปวดในบางจุด น้องได้บอกพ่อแม่ว่าห้ามให้ยามอร์ฟีนแบบฉีดจนกว่าหนูจะรู้สึกไม่ไหวจริงๆ ถ้าพอไหว ขอแค่เป็นยาน้ำ กับแบบแผ่นแปะก่อน หนูยังไม่ยอมใช้ฉีด จนถึงจุดที่น้องคิดว่ายื้อไม่ไหวแล้วจริงๆ ลิ้นเริ่มแข็ง พูดลำบาก กินได้แค่จิบน้ำ แต่ยังบอกกับม้าว่าหนูรู้สึกมีความสุข

หลังจากบอกเสร็จประมาณ 4-5 ชม. ความปวดจุดใหม่เริ่มมา น้องปวดแบบต้องยกตัวขึ้นทั้งๆ ที่แทบไม่มีแรง จึงได้บอกพ่อแม่เอาถึงเวลาเอามอร์ฟีนแบบฉีดแล้วถึงระงับความปวดอยู่ แล้วตัวน้องก็รู้ว่าการฉีดครั้งนี้คือการหลับยาว แต่ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ น้องตั้งรับกับสิ่งที่ต้องเผชิญ โดยไม่มีน้ำตาใดๆ หลักจากฉีดไปได้ 15 นาที อาการปวดเริ่มสงบ แล้วหลับ อีก 30 นาทีถัดมาได้ตื่นมาพูดอะไรบ้างอย่างดีๆ เป็นครั้งสุดท้าย ว่า “ป๊าหนูทำเต็มที่สูงสุดแล้ว หนูไม่เอาแล้ว หนูปล่อยแล้ว” แล้วหลับยาวจนครบ 7 ชั่วโมงจนหัวใจหยุดเต้น

พ่อแม่ได้ทำหน้าที่ส่งน้องในวาระจิตสุดท้ายอย่างเต็มที่ตามหลักศาสนาพุทธค่ะ ไม่อยากให้ทุกท่านเสียใจค่ะ แต่อยากให้ยินดีที่น้องได้พักเสียที หลังจากเหนื่อยมานาน และช่วยร่วมอวยพรให้น้องได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่ามนุษย์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

ต่อมา เฟซบุ๊ก พิมพ์ธิฌาย์ ฤทธาธนาเศรษฐา โพสต์ภาพในวันรดน้ำศพน้องน้ำแข็ง พร้อมเล่าว่า… เป็นการจากไปที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้

สิ่งที่ทางครอบครัวและตัวน้องได้ทำก่อนน้องตายจริง คือการซ้อมเตรียมตัวตายค่ะ ซ้อมบ่อย ก่อนวันตายจริง 1 วัน ลิ้นยังไม่แข็ง ลิ้นยังพูดปกติ (แต่การหายใจของน้องก็เหนื่อยขึ้นมากแล้ว) แม่น้องบอกว่า น้ำแข็งดูร่างกายนี้นะ เห็นไหม เราสั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ สั่งให้มันหายดีก็ไม่ได้ สั่งให้มันห้ามเจ็บห้ามปวดก็ไม่ได้ ร่างกายนี้เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงคราวที่ร่างกายนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ทิ้งมันไปนะลูก ทิ้งมันไป มันเป็นตัวสร้างทุกข์ ไม่ต้องไปรั้งมันไว้ ตั้งจิตตั้งใจให้ตัวหนูมีอิสระจากร่างกายที่สร้างทุกข์เสียที

น้ำแข็ง แซวแม่กลับว่า ม้าซ้อมตายแล้วถ้าเกิดไม่ตายอะ ไม่ซ้อมฟรีเหรอ?? ม้าตอบ ไม่ตายไม่เป็นไร แต่ถ้าตายเราซ้อมตายเผื่อไว้แล้ว จะได้ไม่ขาดทุน น้ำแข็งก็โอเค เข้าใจแต่โดยดี ที่สำคัญหากร่างกายทรุดลงไปเรื่อยๆ มาซ้อมตายตอนนั้น ม้ากลัวหนูจะเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง รีบซ้อมตายตอนที่ยังมีเรี่ยวแรง มีสติที่มากพอก่อนนะคะ เพราะจิตสุดท้ายสำคัญ ยามหนูจะต้องจากไปม้าอยากให้หนูไม่ติดอะไร ไปแบบจิตของผู้ที่เห็นธรรมะ เห็นความไม่ใช่ของเรา เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ ตั้งอยู่ชั่วคราว อย่าไปโศกเศร้ากับสิ่งที่ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้

ก่อนหน้าแม่ลูกเคยคุยว่าสมมุติถ้าหนูต้องตายหนูจะเสียใจอะไรบ้างไหม แม่ของน้องมองว่าจำเป็นต้องคุยเพราะเห็นความสำคัญว่าคนเราก่อนจะไป จิตใจต้องหมดห่วงก่อน น้องตอบ อย่างที่ 1 หนูมีความฝันอยากเป็นนักวาดรูปมืออาชีพ หนูยังไม่ได้ทำเลยเลยยังไม่อยากตาย ม้าตอบ เรื่องนี้จะอยู่หรือจะตายถ้าชอบวาดรูปอยู่ที่ไหนก็วาดได้ สำคัญที่หนูต้องไปดี ไปด้วยจิตดีอย่ามีห่วง จบประเด็นเรื่องวาดรูปแบบเข้าใจดี 

เรื่องที่ 2 หนูไม่อยากตายหนูอยากอยู่กับป๊าม้า หนูมีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้าง และถ้าหนูไม่อยู่ตายไปม้าจะเสียใจมากไหม? หนูไม่อยากให้ม้าเสียใจ และหนูอยากตอบแทนบุญคุณม้าที่ค่อยเหนื่อยดูแลหนูมาตลอด ยามม้าแก่หนูอยากเป็นคนดูแลม้า ม้าตอบ หนูไม่ต้องห่วงหากหนูไปดี ไปด้วยจิตที่ปล่อยวาง หากหนูจะมาหาม้าเมื่อไหร่ก็ได้ หนูไม่ต้องกังวล ม้ารู้หนูเก่ง ม้าจะเข้มแข็งม้าจะเก็บความคิดถึงหนูเป็นแรงผลักดันให้ตัวม้าขยันเจริญสติ เพื่อพัฒนาจิตใจตัวเอง ให้มีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆขึ้นไป และให้อานิสงฆ์นี้ถึงแก่ตัวหนู และม้าจะทำทุกวัน ม้าก็จะทำตัวม้าให้ดีพอที่วันหนึ่งเราจะได้ไปพบกัน ส่วนยามม้าแก่ หนูไม่ต้องห่วงค่ะ ม้าเก่งม้าดูแลตัวเองได้ ม้าก็มีญาติพี่น้อง ม้ามีเงินเก็บ ม้าเอาตัวรอดได้ หนูสบายใจได้เลยนะลูก ม้าหวังแค่หนูได้ไปอยู่ดีมีสุข

แล้วหนูยังมีเรื่องอะไรอีกไหมที่ทำให้หนูไม่อยากตาย หากถึงเวลาต้องตาย? น้องตอบไม่มีแล้วค่ะ จำคำม้าไว้นะ ม้าดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วงม้าค่ะ และวันนี้ม้าก็ทำได้จริงๆ ไม่ได้โกหกหนู เพราะหนูไปสบายแล้ว หนูไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเจ็บแล้วม้าควรต้องยินดีๆๆ เพราะความสุขของหนู คือความสุขของม้าค่ะรักหนูน้ำแข็งเหมือนเดิมแม้ม้าจะไม่เห็นหนู แต่ม้ากลับรู้สึกว่าหนูยังอยู่ข้างๆม้า ปกติม้าจะป้อนข้าวหนู ทำอาหารให้หนูทุกวัน ในการดูแลหนู วันนี้ม้าก็ยังดูแลหนูเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจากการทำกับข้าวป้อนข้าว มาเป็นการนั่งสมาธิให้หนูแทน และม้าจะดูแลหนูแบบนี้ทุกวันจนม้าตายค่ะ เพื่อหวังว่าอานิสงส์แห่งการเจริญสติ เพื่อให้เห็นอริยสัจ 4 จะส่งผลโอบอุ้มดวงจิตของหนูในทุกๆ วัน

หน้าที่ ที่ทำต่อมาคือ ค่อยดึงพ่อน้องน้ำแข็งให้ไม่โศกเศร้า ต้องปรับความคิด พร้อมบอกลูกไปดี เราควรยินดี เรามีโอกาสทำหน้าที่พ่อแม่อย่างเต็มที่วินาทีสุดท้ายของลูก การที่เราเศร้าเพราะคิดถึงลูก อันนี้เป็นเพราะความอยากของเรา คือเราอยากให้ลูกอยู่ อันนั้นเป็นปัญหาของตัวเรา ไม่ใช่ปัญหาของลูก เพราะลูกไปสบายแล้ว หากลูกมองมาเราเอาแต่โศกเศร้าแล้วพลังจิตที่โศกเศร้าของเราจะไม่ส่งถึงลูกเหรอดังนั้นรีบดึงสติให้ไว ว่าความโศกเศร้าก็เป็นของที่พร้อมจะมากระแทกเราอย่างหนักหน่วงในช่วงแรก เราไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับความเศร้า มันมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์ ให้เศร้า 3 ปีเลยก็คืนคนตายกลับมาไม่ได้ แต่ควรรีบเจริญสติเห็นความเศร้าเป็นของชั่วคราว เกิดดับได้ เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นการพัฒนาจิตใจของเราแล้วให้อานิสงส์ถึงแก่ตัวลูก ถึงเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่พยายามทำแต่สิ่งที่ดีๆ ให้ลูก