โรม, 11 พ.ย. (ซินหัว) — เมื่อไม่นานนี้ กระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลี เปิดเผยการค้นพบรูปปั้นสัมฤทธิ์สภาพดี อายุมากกว่า 2,000 ปี จำนวน 24 ตัว ซุกซ่อนอยู่ข้างใต้ดินโคลนของโรงอาบน้ำร้อนโบราณ ซึ่งคณะนักโบราณคดีชี้ว่าอาจเป็นการ “เขียนประวัติศาสตร์บทใหม่”

การค้นพบนี้เกิดขึ้นราวสองสัปดาห์ก่อนขณะคณะนักโบราณคดีสำรวจสระน้ำดั้งเดิมของโรงอาบน้ำร้อนโบราณในหมู่บ้านที่เมืองซาน คาสเซียโน เดย์ แบกนี ในแคว้นทัสคานี และพบส่วนมือของรูปปั้นผุดโผล่จากดินโคลน ก่อนจะขุดพบรูปปั้นทั้งหมดในเวลาต่อมา

รายงานระบุว่ารูปปั้นตัวหนึ่งถูกสร้างเลียนแบบไฮเจีย (Hygieia) เทพีแห่งสุขอนามัยของชาวโรมัน ขณะรูปปั้นอีกหลายตัวถูกสร้างเลียนแบบเทพเทพีองค์อื่นๆ และเหล่าจักรพรรดิที่ได้รับความนิยมชมชอบระหว่างยุคสมัยต่างๆ ของจักรวรรดิโรมัน

“นี่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่การค้นพบรูปปั้นสัมฤทธิ์รีอาเช (Riace Bronzes) และเป็นหนึ่งในชุดรูปปั้นสัมฤทธิ์ที่มีนัยสำคัญมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเมดิเตอร์เรเนียนโบราณ” มัสซิโม โอซานนา อธิบดีฝ่ายพิพิธภัณฑ์ของกระทรวงฯ ระบุ

โอซานนากล่าวว่าหมู่บ้านที่เมืองซาน คาสเซียโน เดย์ แบกนี จะจัดแสดงสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ภายในพิพิธภัณฑ์เฉพาะ ซึ่งจะถูกสร้างสรรค์อยู่ภายในคฤหาสน์เก่าแก่ 500 ปี และจะบรรยายประวัติศาสตร์การค้นพบใหม่ด้วย

รายงานเสริมว่ารูปปั้นทั้งหมดเคยถูกฝังพร้อมกับเหรียญนับพัน ของใช้ในครัวเรือน และวัตถุอื่นๆ ที่มีคำจารึกอักษรลาตินและอักษรอิทรัสคัน (Etruscan) โดยจัดเป็นส่วนหนึ่งของศาสนสถาน และไม่ได้มีเจตจำนงให้ถูกค้นพบแต่อย่างใด

จาโกโป ตาโปลลี จากมหาวิทยาลัยเซียนาในแคว้นทัสคานี บอกว่าการค้นพบนี้เป็น “สมบัติสุดพิเศษ” ที่จะเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ เนื่องจากเป็นชุดรูปปั้นสะสมจากยุคอิตาลีโบราณอันยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นชุดรูปปั้นที่ช่วยประกอบสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่อย่างเต็มรูปแบบ

อนึ่ง โรงอาบน้ำร้อนโบราณแห่งนี้เป็นที่นิยมในหมู่จักรพรรดิและขุนนางระดับสูงของจักรวรรดิโรมัน เปิดอยู่นานราว 800 ปี นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั่งปิดตัวและเปิดใหม่ในศตวรรษที่ 16 โดยรองรับนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น แต่ค่อยๆ ถูกเลิกใช้ก่อนถูกตกแต่งใหม่ในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

ข่าวการค้นพบรูปปั้นนี้ได้ขึ้นหน้าหนึ่งของสื่อมวลชนอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่รุ่มรวยด้วยมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยอิตาลีมีแหล่งมรดกโลกภายใต้การรับรองจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) สูงถึง 58 แห่ง