“สนธิญา” บุก กกต.จี้เร่งสอบ “พิธา” ปมถือหุ้นสื่อ ชี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ปปช.แถลงแล้ว มีการแจ้งเรื่องการถือหุ้น ลั่นผลเลือกตั้ง “ก้าวไกล” อาจเป็นโมฆะ

นายสนธิญา สวัสดี เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อกกต. ให้สอบเรื่องการถือหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีว่า เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และขอให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมาแถลงชัดเจนแล้วว่านายพิธา ได้แจ้งการถือหุ้นไอทีวี จำนวน 42,000 กว่าหุ้น ซึ่งที่ผ่านมานายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายศรีสุวรรณ จรรยา ก็มาร้องแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญมาตรา 160 (6) กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)

ส่วนตัวจึงเห็นว่า นายพิธา เป็นแคนดิเดตนายกฯ และอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีใน 2 เดือนข้างหน้า หากไม่ทำให้เรื่องนี้ชัดเจนจะทำให้เกิดความเสียหายตามมา เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า นายพิธามีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร และการที่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล เซ็นส่งผู้สมัคร ส.ส. 400 เขต ก็จะทำให้ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากพรรคก้าวไกลเป็นโมฆะ รวมถึงการเซ็นโครงการต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ ในฐานะรัฐมนตรีก็จะเป็นโมฆะด้วย

“ขอให้กกตให้เร่งรัดตรวจสอบกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เพราะปปช.ก็แถลงแล้วว่า นายพิธาได้แจ้งเรื่องการถือหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาก็มีคนร้องเรียนแล้ว กกต. จึงไม่ต้องพิจารณาวินิจฉัยอะไรมากมายไปกว่านี้ แต่ให้ส่งเรื่องไปสู่ศาลฎีกา หรือส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อโปรดวินิจฉัย หากกกต.ไม่มีกระบวนการตามที่กล่าว อีก 2 อาทิตย์ ผมจะไปยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วถ้าภายใน 60 วันผู้ตรวจการแผ่นดินยังไม่เสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็จะยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ” นายสนธิญา กล่าว

ทำไมว่าเป็นผู้จัดการกองมรดก และเท่าที่ทราบ นายพิธา ไม่ยื่นหลังจากที่เป็นส.ส. ปี 2562 แล้ว 2-3 ปี ซึ่งยังไม่รู้ว่าหากผิด จะมีผลย้อนหลังไปถึงการเป็น ส.ส.เมื่อปี 2562 หรือไม่ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้จัดเจน เมื่อเป็นนายกฯ จะได้ใสสะอาด ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าไม่ตรวจสอบตอนนี้ แต่ไม่ตรวจสอบตอนเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีแล้ว ความเสียหายที่เกดขึ้นจะมากกว่านี้

นายสนธิญา กล่าวว่า นอกจากนี้ ตนคัดค้านการจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองพรรคอนาคตใหม่มาตั้งแต่ ปี 2561 เพราะนายปิยะบุตร แสงกนกกุล แสดงเจตนาที่จะแก้ไขมาตรา 112 และได้ติดตามการทำงานของพรรคอนาคตใหม่ จนมาเป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้ก็ยังมีแนวความคิดดังกล่าวอยู่ รวมถึงให้มีการนิรโทษกรรมผู้ก่อคดีทางการเมือง

ซึ่งหากดำเนินการตนก็ได้รับประโยชน์ด้วย เพราะตนยังมีคดีที่รอลงอาญา 2 ปี ในคดีหมิ่นประมาทอยู่ 2 คดี แต่ตนยอมรับในการกระทำที่เกิดขึ้น จึงไม่เห็นด้วยในการแก้มาตรา 112 ดังนั้น ส.ว.และพรรคการเมือง รวมถึงผู้ที่เข้าไปร่วมรัฐบาลของนายพิธา ว่า ถ้ายังมีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 แล้วบุคคลนั้นได้รับเครื่องราชไม่ว่าชั้นไหน ก็ตาม ตนจะรวบรวมรายชื่อพี่น้องประชาชน ถวายฎีกาขอคืนเครื่องราชทุกประการกับผู้ที่เข้าไปร่วมในการแก้ไขมาตรา 112 ทั้งนี้การที่ตนพูดเช่นนี้จะเรียกว่าเป็นการกดดัน ส.ว. ก็ยอมรับว่าต้องการกดดันส.ว. ที่จะโหวตสนับสนุนนายพิธาเป็นนายก ก็ขอให้พิจารณาให้ดี ว่านโยบายของรัฐบาลยังคงมีเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 อยู่หรือไม่

นายสนธิญา กล่าวด้วยว่า นอกจากมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต.แล้ว ยังมาให้ถ้อยคำต่อ กกต. ในคดีครอบงำพรรคเพื่อไทย จากเหตุนายสมชาย แสวงการ ส.ว. เผยแพร่คลิปเสียงนายทักษิณ ชินวัตร คุยกับหัวคะแนน และเรื่องที่สอง คือกรณีพรรคเพื่อไทย ปล่อยให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ปราศรัยใส่ร้ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกฯ