สาว 22 กินยาตายแต่ช่วยทัน อ้างแม่จับขังบังคับแต่งงาน ด้านแม่เล่าวีรกรรมลูก ก้าวร้าว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ล่าสุด จบลงด้วยดี แม่ยอมปล่อยลูกไป

เมื่อเวลา 12.00 น. พ.ต.อ.ชนินทร์ ณรงค์น้อย ผกก.สภ.ละแม ได้รับการประสานทางโทรศัพท์จากนางปวีณา หงส์สกุล มูลนิธิปวีณาหงส์สกุลเพื่อเด็กและสตรี ว่าได้รับเรื่องร้องเรียนจากพลเมืองดี ว่า น.ส. เอ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี ถูก นางอร (นามสมมติ) อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นมารดา กักตัวไว้ในบ้าน ม.2 ต.ทุ่งหลวง อ.ละแม จ.ชุมพร และมีอาการเครียด ต้องการความช่วยเหลือ จึงได้สั่งให้สายตรวจตำบลทุ่งหลวง ไปตรวจเหตุเบื้องต้น ไม่พบผู้ใดอยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าว

ต่อมาได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ของ รพ.สต.ทุ่งหลวง ว่าได้นำตัว น.ส.เอ ส่งโรงพยาบาลละแม เนื่องจาก น.ส.เอ ได้กินยาเกินขนาด จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม ร.ต.อ.หญิง วาสนา ใจห้าว รอง สว.สอบสวน สภ.ละแม พนักงานสอบสวนทราบและทำการตรวจสอบทราบว่า น.ส.เอ ได้กินยาเกินขนาดจริง แพทย์ได้ช่วยเหลือและทำการรักษาเบื้องต้น ยังไม่สามารถสอบปากคำได้

ต่อมา เมื่อวันที่ 28 ต.ค.65 เวลาประมาณ 08.00 น. พ.ต.อ.ชนินทร์ ณรงค์น้อย ผกก.สภ.ละแม พร้อมด้วย นางสาววัชรี ศรีเสือ มอบหมายให้นางพสธร กุลดาววงศ์ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ นายอรรถชัย ภักดีอักษร นักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติการ จากสำนักงาน พมจ.ชุมพร และ นายกิติศักดิ์ ชูกลาง เจ้าหน้าที่ ป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัว(ศปก.) นักสังคมสงเคราะห์ บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.ชุมพร ลงพื้นที่ อ.ละแม จ.ชุมพร ซึ่งได้ลงติดตามกรณีสื่อเฟซบุ๊กเพจอีจันเสนอข่าว “ช่วยสาว 22 ลาตาย เพราะโดนแม่บังคับแต่งงาน” ได้ไปพูดคุยกับ น.ส.เอ ซึ่งพ้นขีดอันตราย แต่ยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ แต่พอจะสื่อสารรู้เรื่องเข้าใจ โดยบอกเพียงว่า อยากจะพาลูกสาวไปอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี

เจ้าหน้าที่ จึงได้เชิญเพื่อนของ น.ส.เอ ซึ่งเป็นคนที่ น.ส.เอ โทรหาและมาช่วยนำส่ง รพ.สต.ทุ่งหลวง มาสอบถาม ที่ สภ.ละแม และได้ทราบข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.เอ ได้ส่งข้อความมาหา โดยเนื้อหาระบุในลักษณะสั่งเสีย เนื่องจากที่ผ่านมา ถูกมารดาบังคับให้แต่งงานกับชายที่มารดาเชื่อว่าหากแต่งงานกัน จะทำให้พ้นเคราะห์ เนื่องจากมารดาเชื่อว่า น.ส.เอ ถูกเพื่อนชายคนหนึ่งทำคุณไสยใส่ แต่ น.ส.เอ ไม่ยินยอม มารดากลัวจะหนีไป จึงได้มีการล็อกบ้าน ไม่ให้ออกไปนอกบ้านในช่วงกลางคืน ทำให้ น.ส.เอ เครียดจึงตัดสินใจกินยาแก้ปวดเข้าไปเกินขนาด พวกตนจึงได้ชวนกันมาดูและไปพบ น.ส.เอ นอนหมดสติ อยู่ในห้อง จึงได้ช่วยกัน นำตัวส่ง รพ.สต.ทุ่งหลวง ดังกล่าว

ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้สอบถาม นางอร มารดา ได้ความว่า ตนเองไม่ได้กักขัง น.ส.เอ ลูกสาว แต่อย่างใด แต่ที่ห้ามปราม ไม่ให้ น.ส.เอ ออกจากบ้านเพราะหวังดี ไม่ต้องการให้บุตรสาวไปคบกับเพื่อน ซึ่งอาจจะไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือส่งผิดกฎหมาย และอีกอย่างคือลูกสาว ได้ตกปากรับคำว่าจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งทางผู้ใหญ่ทั้งสองก็รับทราบ และได้กำหนดที่จะแต่งงานกันในที่ 4 พ.ย.65 ที่จะถึงนี้ ซึ่งยืนยันเป็นความสมัครใจของทั้งสองและทั้งสองยังไปดูชุดแต่งงานและจะได้ถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยกันอีกด้วย

นางอร กล่าวว่า ซึ่งตนเองก็ยอมรับว่าเป็นห่วงในเรื่องแต่งงานมากว่าจะมีปัญหา เพราะลูกสาวนั้น ไม่อยู่ในร่องในรอย วันนี้อย่าง พรุ่งนี้อย่าง ด้วยเพราะลูกสาวเคยมีปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้า เคยไปหาหมอมาแล้ว และวันนั้นก็มาถึง เมื่ออยู่ๆ ลูกสาว ก็ไม่พูดไม่จากับตนเอง และยังเก็บเสื้อผ้าของว่าที่ลูกเขยทั้งหมดและไล่ให้ออกจากบ้านไป ปฏิเสธไม่แต่งงานแล้ว ซึ่งตนก็พยายามพูดคุยแต่ก็ไม่เป็นผล กลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ตนเองจึงต้องบังคับห้ามออกนอกบ้าน เพราะอายและไม่รู้จะพูดอะไรกับผู้ใหญ่ทางโน้น และยิ่งมารู้ว่า ลูกสาวได้แอบคบผู้ชายคนใหม่ แต่ไม่รู้ว่าคบกันมานานเพียงไหน จนทำให้ลูกสาวตนเองเปลี่ยนไปมีพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เห็นตนเป็นแม่เลย ซึ่งตนคิดว่า ผู้ชายคนใหม่น่าจะทำคุณไสยใส่ลูกสาว จนเป็นได้ถึงขนาดนี้

นางอร กล่าวต่อว่า กี่ครั้งแล้วที่ตนต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับลูกคนนี้ ตั้งแต่เรียนอยู่ ม.ต้น สามปีสามโรงเรียน และไปต่อ ม.ปลาย ก็เรียนไม่จบ ต้องออกกลางคัน ขณะเรียนอยู่ ม.5 เพราะเกเร ตนเองหวังดีกับลูกทุกอย่าง ลูกผิดก็ต้องให้อภัย ให้โอกาส จนลูกสาวขอไปเรียนต่อสายอาชีวะ ก็สนับสนุน ก็ไปเรียนได้ไม่นาน ก็ท้องมีลูกเกิดมาให้ตนเลี้ยง 1 คน เป็นหญิง อายุตอนนี้ 1 ขวบเศษ ซึ่งตนรักมากและอยากจะปลูกฝังสิ่งดีใส่ให้หลาน ไม่อยากให้พบเห็นสิ่งที่เลวร้ายจากการกระทำของผู้ใหญ่ที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม และผู้ใหญ่ซึ่งเป็นแม่ มาทำแบบนี้ ตนเองรับไม่ได้ แทนที่จะก่อร่างสร้างตัว จะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เป็นชิ้นเป็นอัน กลับอยากจะเที่ยวเตร่ ไม่สนใจคนในครอบครัวเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอร จะขออนุญาตเลี้ยงดูหลานสาวเอง เพราะเป็นห่วง และกังวลว่า จะเลี้ยงได้ดีไม่เท่าตนเองที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ ได้ชี้แจงว่าเป็นสิทธิโดยถูกต้องที่ผู้เป็นบุพการี สามารถตัดสินใจเอง และเจ้าตัวต้องการกลับไปอยู่ จ.สุราษฎร์ธานี ทางนางอร ครั้งแรกต่อต้านจนในที่สุดยอมและพร้อมหากบุตรสาวหายป่วยแล้วก็ยินดีที่จะให้กลับไปอยู่กับสามีคนเดิมที่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด โดยที่บิดาและมารดาของสามีเก่าก็จะเดินทางมารับ หลังจากแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล เหตุการณ์จึงจบด้วยดีในที่สุด