หลงรักการเล่นพิลาทิสมากๆ สำหรับนางเอกสาว พรีมรณิดา เตชสิทธิ์ ถึงขั้นเรียนเพื่อต้องการใบประกอบวิชาชีพแบบจริงจัง แถมตอนนี้ยังมีลูกศิษย์จองคิวขอเข้าคลาสเรียนด้วยเพียบ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เจ้าตัวชื่นชอบ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

เมื่อ มีโอกาสเจอกับสาว พรีม มาโปรโมตละคร ชายแพศยา จึงได้พูดคุยถึงบทบาทในละคร ที่กำลังออกอากาศให้ชมทางช่อง 3HD รวมทั้งเล่าถึงจุดเริ่มการเล่นพิลาทิส จนได้เป็นครูและมีคลาสสอนเป็นของตัวเอง พร้อมกับอัปเดตมุมมองความรักกับแฟนหนุ่มนอกวงการ แม้จะสุ่มศึกษาดูใจกันมาพักใหญ่ แต่ไม่ยอมเปิดตัวอย่างเป็นทางการสักที ด้วยเหตุผลไม่อยากให้ฝ่ายชายเสียความเป็นส่วนตัวไป

โดย พรีม “โตแล้วมีแฟนได้ เมื่อก่อนแม่จะหวงนิดนึง ทุกคนหวง ใช่ แต่ว่าทุกคนโอเค จริงๆ ความรักพรีมก็เหมือนเดิมเลยค่ะ ไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลย จะมีให้เห็นวับๆ แวมๆ บ้าง ไม่ค่อยออกสื่อค่ะ เราเคารพความเป็นส่วนตัวเขาด้วย เพราะว่าพี่เขาไม่ใช่คนในวงการด้วย เขาก็เลยไม่ได้จำเป็นต้องมาอยู่ใต้แสง แล้วเขาเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับการจะต้องมีคนเห็นเขา เขาก็ใช้ชีวิตของเขาแฮปปี้

เราก็รู้สึกว่าถ้างั้นเราก็ไม่ได้อยากจะเปิดโอกาสให้ใครเข้าถึงตัวเขา เข้าถึงชีวิตส่วนตัวเขา เพราะอย่างเราอะเราชิน กับการที่มีคนคอยสอดส่องเรา แต่พรีมรู้สึกว่าสำหรับคนที่เขาไม่ชิน มันอาจจะตั้งรับไม่ทัน แต่จริงๆ ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ปิดค่ะ แต่แค่เราไม่ได้ป่าวประกาศให้โลกรู้ เราก็คือทำตัวปกติของเรา”

วันพิเศษก็ไม่มีโมเมนต์ให้เห็น เพราะเราเลือกเก็บความเป็นส่วนตัวไว้ ?

“ใช่ เพราะว่าชีวิตจริงเราก็เห็นกันอยู่แล้ว เราก็เห็นกันเองแชร์โมเมนต์กันเองก็ได้ ไม่ต้องแชร์ให้คนอื่น แล้วคนอื่นก็ไม่ได้รู้จักคือไม่ใช่คนในวงการ แล้วคนอื่นก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรของพี่เขาอยู่แล้ว คืออาจจะไม่ได้อินไปกับเราก็ได้ ก็เลยมองว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามไหลไปค่ะ”

แสดงว่าเราแยกชีวิตในวงการกับชีวิตส่วนตัว ?

“ณ โมเมนต์นี้พรีมยังรู้สึกว่าพรีมยังอยากแยกมันนิดนึง คือพรีมรู้สึกว่าอยากให้งานพรีมเป็นเรื่องหลัก แล้วก็ไม่อยากให้เรื่องความรักหรือเรื่องอย่างอื่น มาเหมือนแย่งความสนใจจากงานของเรา เขาก็เข้าใจค่ะ จริงๆ พรีมไม่เคยต้องชี้แจงเขา คือเขาเป็นฟีล ยูทำตามที่ยูอยากทำเลย เอาที่เห็นสมควรว่าดี เขาไม่เคยมายุ่งกับงานของพรีมในแง่นั้น เหมือนเขาจะรู้ว่าเรารู้ดีที่สุด คนที่ทำงานกับเราจะรู้ดีที่สุด”

คบกันมานานหลายปีแล้ว ?

“พูดตรงๆ ว่านับไม่ถูกเหมือนกัน เพราะว่าอยู่ด้วยเหมือนเราเห็นกันมานานมาก แล้วเราอยู่ตรงนี้ที่มันเป็นจุดสบายใจของเรา เลยทำให้เราก็อยู่อย่างนี้กันไปเรื่อยๆ แล้วรู้ตัวอีกที อ้าว เรายังอยู่ตรงนี้กันอยู่หรือเนี่ย”

เขาทำให้พรีมไม่กล้ารับละครมีฉากเลิฟซีนเยอะๆ ?

“รอดู ปิ่นอนงค์ (หัวเราะ) ไม่เกี่ยวเลยค่ะ เขาสนับสนุนเรามาก สนับสนุนในแง่ทำอะไรทำเลยจริงๆ ค่ะ สบายใจมากๆ ค่ะ เขาไม่เคยว่าใดๆ เลย เหมือนเขาไม่รู้สึกว่าเขามีสิทธิที่จะสามารถกับกำหนดอะไรในส่วนนี้ได้ด้วยซ้ำค่ะ พรีมเคยหลอกถามเขาด้วยนะ

ว่าถ้าสมมติเราต้องเล่นหนังเมืองนอก แล้วเขาให้เราโป๊มากๆ ยูจะให้เราเล่นมั้ย เขาก็บอกว่าถ้ายูคิดว่ามันดียูก็เล่น คือเหมือนเขาก็รู้ว่าถ้าสมมติเป็นซีนที่มันไม่โอเคจริงๆ มันคงไม่ผ่านตั้งแต่เราแล้ว มันไม่ต้องถึงขั้นเขาหรอก เขาก็เลยจะรู้ว่าถ้าในความคิดของยู ยูผ่านแล้วฉันก็ว่าอะไรไม่ได้ แต่เขาจะเป็นเอามากๆ กับซีนฉากอุบัติเหตุ ฉากตาย ฉากเจ็บ ฉากโดนแทง อะไรแบบนี้ไม่ได้เขาจะไม่ชอบดูเราโดนยิงโดนแทง”

เขาติดตามดูผลงานเราเรื่อยๆ ?

“ดูบ้างค่ะ ปิ่นอนงค์ ก็ไม่อยากให้เขาดู แต่เรื่องนี้ดูได้ เรื่องนี้เขาก็จะขำๆ ในฐานะคนนอกวงการที่ทำธุรกิจ เพราะเขาดูเรื่องที่มันเกี่ยวกับธุรกิจ เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งกัน เขาก็จะแบบ เออ สนุกดี ก็บันเทิง ถามว่าเข้าฉากเลิฟซีนต้องบอกเขามั้ย ไม่ต้อง ไม่เคยบอกอะไรเลยค่ะ

เคยพูดประมาณว่า เหมือนช่วงสุ่มเสี่ยงโควิด ช่วงที่เราไม่ค่อยอยากไปเจอใครที่เราไม่รู้เขาไปไหนมา เหมือนเราต้องมีฉากเลิฟซีนกับพระเอก แล้วเราก็เหมือนไม่ได้อยากจะบอกเขา แต่ก็คือสุดท้ายมันต้องบอก ขอยังไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนยูกับยูได้มั้ย เพราะว่าพรุ่งนี้เรามีเลิฟซีนกับพระเอก เราไม่อยากทำให้เขาเสี่ยง(หัวเราะ) เขาก็แบบโอเคได้ๆ เข้าใจ”

เราเป็นคนในวงการแวดล้อมไปด้วยพระเอกคนเข้ามาหา เขามีหวงมีหึงบ้างไหม ?

“ไม่มีเลยค่ะ มันเกิดจากการที่สำหรับเขาสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คืองานเหมือนกัน สำหรับพรีมสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืองานเหมือนกัน ก็เลยทำให้เราไม่ได้คอยมานั่งจับผิดจับจ้อง แบบเป็นหวงอะไรกันอย่างนั้นค่ะ

จริงๆ ชีวิตแบบนี้พรีมว่ามันเวิร์กมากเลยนะ จะพูดเหมือนประมาณว่าไว้ใจอยู่แล้ว เรารู้ว่าคนอย่างเธอไม่ทำแบบนี้หรอก เป็นคำพูดแนวๆ นะคะ มันก็จะ อ้าว อยู่ที่เราแล้ว เหมือนสร้างความกดดันเฉยเลย เป็นคำพูดแนวๆ นี้ โยนไปที่อีกคนนึงเลย(หัวเราะ)”

 ส่วนตัวเรามีโยนความกดดันอะไรให้เขาไหม ?

“ของพรีมจะออกแนว ไปเลย ทำอะไรทำเลย เพราะว่าข้างๆ เราก็เนี่ย ฉันก็แค่หันซ้ายหันขวาฉันเจอแต่คนหล่อๆ มันไม่ยากสำหรับเราหรอกนะ แต่ถ้าเธอจะไปเธอไปเลย ถ้าเขาจะตัวให้เราแบบพยามหึงหวงเขา แต่ถ้าเขาไปเที่ยวกับเพื่อนไม่เคยห้ามเลยค่ะ จะทำอะไรก็ทำเลย

จะพยายามทำให้เป็นฟีลเหมือนแซว บางทีเพื่อนๆ เขาจะชอบแซวว่า เฮ้ย เมื่อวานไปอยู่กับใครมาหรือเปล่า เมื่อวานไปเที่ยวไม่บอกพรีมหรือเปล่า นี่แบบเพื่อนไม่ต้องไปแซวเขาหรอก เพราะว่าซ้ายขวาของเราเหนือกว่า ต้องขอบคุณความหล่อของพระเอกทุกๆ คนนะคะในวงการนี้ ที่ทำให้เราเหมือนถือไพ่เหนือ”

ก่อนหน้านี้บอกว่าถ้ามีรักเป็นคนไม่คลั่งรัก แล้วมีมุมหวานกันบ้างไหม ?

“มีบ้างๆ แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะรู้จักกันมานานไปมั้ง มันกลายเป็นออกแนวเพื่อนกันมากกว่า กลายเป็นเพื่อนสนิทเพื่อนรู้ใจเราไปแล้ว มันไม่ใช่ออกแนวความรักหวานแหวว กุ๊กกิ๊ก ถามว่าจะหวานกันแนวไหน จริงๆ ไม่ค่อยหวานนะ จะเป็นสายเหมือนพูดน้อยแต่ทำ จะออกแนวมีอะไรให้ช่วยก็บอก มีอะไรให้ซัพพอร์ตก็บอก เหมือนคอยรับฟังปัญหาคอยอยู่ดูแลซัพพอร์ตเรามากกว่า”

คบแบบคนโตๆ กันแล้ว ?

“ใช่ๆ ค่ะ บอกแล้วไม่ค่อยหวือหวา ถามว่าเทศกาลต้องไม่ขาดหรือเปล่า ไม่จริง ปีที่แล้วเหมือนทำงานเหนื่อย วาเลนไทน์มั้งคะ อยู่บ้านไม่ไปได้มั้ย ขี้เกียจมากเลยวันอื่นได้มั้ย อาทิตย์หน้าได้มั้ย บางทีอะไรที่มองข้ามก็มองข้ามไปค่ะ เราไม่ค่อยยึดติดเทศกาล เป็นฟีลวันไหนที่เราว่าง วันไหนที่เรารู้สึกว่าเรามีแรง เราอยากไปโน่นไปนั่นไปนี่ก็ยกให้วันนั้นเป็นวันพิเศษไปเลยแล้วกัน โชคดีที่เป็นคนไลฟ์สไตล์คล้ายกันมากในแง่นี้”

ดูเป็นคู่ที่เรียบง่ายไปหมด แอบมีมุมขัดแย้งกันบ้างไหม ?

“มีๆ มีอยู่แล้วค่ะ คือไลฟ์สไตล์มันไม่ได้ตรงไปซะหมดทุกอย่าง แต่แง่ความคิดและค่านิยมของเรามันหมือนกัน แต่มันก็มีจุกๆ จิกๆ ที่ไม่ตรงกัน ยังแบบชอบกินส่วนพรีมไดเอทตลอดเวลา ขัดแย้งกัน แต่ว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ สุดท้ายก็จะขำ ขำกันไม่ได้โกรธ”

เขาเป็นรุ่นพี่ อายุไล่เลี่ยกันไหม ?

“ไล่เลี่ยค่ะ แต่ว่ารุ่นพี่นิดหน่อย เจอกันที่มหาลัย คนเดิมค่ะ สักวันนึงคงได้เห็นหน้ากันแหละ คิดว่านะ ความรักแฮปปี้ดีค่ะ ก็คือตราบใดที่ไม่ขัดใจเรา เราก็โอเค ตราบใดที่ชีวิตเราไม่ขัดใจชีวิตเขา ชีวิตเขาไม่ขัดใจชีวิตเรา มันเดินไปด้วยกันได้ก็โอเคค่ะ”

ตอนนี้ยังเล่นพิลาทิสอยู่ใช่มั้ย ?

“ใช่ค่ะ ก็คือเราไม่ได้สอนเต็มที่ขนาดนั้นด้วยตารางงานเวลาของเรา คือยังไงเราก็ต้องเอางานการแสดงเราเป็นงานหลักก่อน แต่เราก็ไม่ทิ้ง คือตอนแรกที่เรียนมาก็ไม่ได้ตั้งใจว่า ฉันจะเป็นครู ฉันจะไปเรียนพิลาทิส เหมือนแบบเป็นช่วงเวลาว่าง เราก็เลยคิดว่าจะยังไงดี แล้วเหมือนเคยมีเพื่อนทักว่าพรีมน่าจะไปเรียนพิลาทิส เพราะมันดูเป็นสิ่งที่เหมาะกับพรีม แล้วพรีมดูแบบทำได้ ทำได้แบบน่าจะสามารถเรียนลึกมากพอที่เราจะ

ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับคนอื่นได้ มันดูมีแววอะไรอย่างนั้นอะค่ะ ตอนนี้ก็เลยทำให้เราฉุกคิดว่า เอ๊ะ หรือว่าเราไปเรียนดี มันไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว พอมันเป็นเรื่องของความรู้ต่อให้เราไม่ได้ใช้ตอนนี้ แต่มันเป็นความรู้ที่จะติดตัวเราไปตลอด ก็เลยเรียนทิ้งไว้ พอเรียนปึ๊บเราก็ต้องอยากสอน เหมือนเราก็อยากใช้วิชาที่เราเรียนมาไปเรื่อยๆ ค่ะ คือไม่ทิ้ง แต่ถามว่าก็ไม่ได้แบบโฟกัสเป็นหลักว่าเป็นครูพิลาทิส เป็นงานที่สองของเรา”

โดยมีลูกศิษย์คือเพื่อนๆ เรา ?

“ใช่ แต่ว่าก็คือตอนนี้หลักๆ ด้วยตารางเวลาที่ไม่แน่นอนเราก็เกรงใจ เราไม่อยากรับสอนอะไรข้างนอกอะค่ะ ก็จะรับสอนเพื่อนใกล้ๆ ซึ่งคนที่สนิทที่สุดก็คือ พี่โม มนชนก จริงๆ ที่พี่โมก็คนที่ช่วยพรีมในการเก็บชั่วโมง เหมือนพอเราเรียนเสร็จปึ๊บเราเรียนทฤษฎีมันต้องมีปฏิบัติด้วย ซึ่งปฏิบัติมันเหมือนเราต้องเก็บชั่วโมงค่ะ อันนั้นคือจะเป็นพาร์ตที่ยาก

จริงๆ ตอนเรียนใช้เวลาเดือนเดียวเอง แต่ตอนที่เราต้องเก็บชั่วโมงสอน ทั้งสอนด้วยทั้งเราต้องไปดูคนอื่นสอนด้วย เหมือนทั้งเราต้องเล่นเองและเราก็ต้องไปสอน เป็นคนสอนเองด้วยค่ะ รวมๆ แล้วประมาณ 130 ชั่วโมง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด เดี๋ยวสถาบันออกกำลังกายเดี๋ยวก็เปิดเดี๋ยวก็ปิด คือเก็บชั่วโมงได้แบบต้องมานั่งลุ้นว่าพรุ่งนี้เราจะเก็บชั่วโมงได้อีกหรือเปล่า ประมาณ 40 ชั่วโมง พรีมต้องไปเข้าคลาสเอง แล้วก็อีกร้อยกว่าเนี่ยพรีมต้องเป็นคนสอน ซึ่งใน 100 ชั่วโมงนี้ พรีมค่อนข้างมั่นใจว่าประมาณ 50-60 ชั่วโมง เป็นของพี่โมคนเดียว ช่วงนั้นก็คือทุกคนก็ว่าง เป็นช่วงแบบกองบางกองก็ไม่กล้าเปิดกล้อง ไม่กล้าถ่ายทำ คือไม่มีอะไรทำ ยิมเปิด ห้องฟิตเนสเปิดเราก็ไปเล่นพิลาทิสกันเลย

แล้วช่วงนั้นพี่โมก็อินออกกำลังกายมากด้วย ทุกวันนี้พี่โมก็ยังเข้ามาบ้าง บางทีพรีมก็สอนคุณแม่ตัวเอง แล้วบางครั้งก็มีแบบนักเรียนอยู่ประมาณ 2 คนค่ะ ที่เป็นนักเรียนประจำของเรา ที่มาจากสตูดิโอพิลาทิสที่เราเล่นเป็นประจำอยู่แล้ว เขาก็เห็นเราว่าเราได้ใบเซอร์มา เขาก็เลยแบบสนใจอยากสอนมั้ย แล้วมันดันตรงกับตารางเวลาพรีมพอดี ก็เลยโอเคก็ได้ แต่ก็จะอยู่แค่นี้ ยังไม่ขยับขยาย”

ช่วงว่างกลายเป็นว่าได้อีกอาชีพนึงมาเลย ?

“ใช่ๆ แล้วก็แบบเป็นอีกอาชีพนึงที่มันไม่มีวันสิ้นสุดเลย มันแตกออกไปได้เป็นหลายอย่างมากเลยค่ะ สนุกดี อยากไปเรียนเพิ่มเหมือนกันแต่ต้องหาเวลาก่อน”

แอดวานซ์ขึ้นกว่าเดิมใช่มั้ย ?

“คือมันมีหลายเครื่อง พิลาทิสมันแตกออกมาเป็น เหมือนสมัยนี้เขาปรับตัวไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย จากที่เมื่อก่อนมันมีแค่นี้อยู่ดีๆ เขาก็เป็นเหมือนแบบเพิ่มเติมขึ้นมามีเครื่องโน้นเครื่องนี้ อย่างพิลาทิสมีใช้เครื่อง ที่เป็นเครื่องที่ห้อยก็มี แล้วก็มีที่เป็นเหมือนโค้งๆ เก้าอี้ที่มันดูเหมือนโค้งๆ อันนั้นก็อีกอย่างนึง มีอีกเครื่องนึงเป็นแบบยกตัวขึ้นไป นั่นก็อีกเครื่องนึง คือทุกอย่างมันจะแยกๆ กันไปหมดเลยค่ะ”

พรีมเล่นได้ครบหมดหรือยัง ?

“ยังค่ะ พรีมเบื้องต้นคือเรียนเฉพาะตัวรีฟอร์เมอร์ค่ะ ตัวที่เราเห็นกันทั่วๆ ไป ตัวโหนๆ พรีมก็ยังไม่ได้เรียน เพราะการที่เราจะทำให้ครบวงจรอันนั้นต้องเรียนทฤษฎีปีนึง ซึ่งอันนั้นพรีมอาจจะยังหาเวลาทำไม่ได้ค่ะ ก็เลยยังไม่ได้ทำ ถามว่ามีแพลนจะไปถึงขั้นนั้นมั้ย จริงๆ ก็อยากค่ะ มันไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราอาจจะค่อยๆ เก็บทีละส่วนๆ ไปดีกว่า”

การได้วิชาชีพนี้มาทำให้ชีวิตเราฟูลฟิลหรือดีขึ้นอย่างไรบ้าง ?

“มันฟูลฟิลนะคะ เพราะว่าพูดตรงๆ งานนี้ในวงการเรามันมีความไม่แน่ไม่นอน แล้วก็บวกกับเหมือนพอเราทำงานตรงนี้มานาน หลายๆ มันเริ่มเป็นรูทีนมากขึ้น เหมือนเราจะเริ่มมองเห็นหลายๆ อย่าง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว เราจะเริ่มไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเราแล้ว แล้วยิ่งสำหรับพรีม เหมือนการที่ได้ไปสรรหาโน่นนั่นนี่มาทำแล้วได้ชาเลนจ์ตัวเอง

ช่วงแรกๆ อาจจะไม่กล้าทำ อาจจะกลัว แต่พอได้ทำแล้ว แล้วมันรู้สึกว่า เออ เราก็ทำได้ มันก็จะทำให้พอเราได้เหมือนอันล็อคสกีลอีกอย่างนึง กลับกลายเป็นแบบพอเราหันกลับมาทำงานวงการ มันก็ทำให้เราอยู่ดีๆ ก็เหมือนตื่นเต้นอีกครั้งด้วยซ้ำ เหมือนมันไม่ใช่ว่าเราอันล็อคสกีลนี้แล้วเราตื่นเต้นกับสกีลใหม่ของเรา แต่มันกลายเป็นแบบทุกๆ ครั้งที่เราอันล็อคสกีล มันทำให้องค์ประกอบชีวิตรวมของเรามันน่าตื่นเต้นกว่าเดิมไปหมดเลย”

ตอนนี้พอใจกับหุ่นรูปร่างตัวเองหรือยัง ?

“ไม่หรอกจริงๆ ก็ไม่มีวัน พรีมเชื่อว่าผู้หญิงจะไม่มีวันพึ่งพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นตลอด จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเองตลอดเวลา ผมเอย ผิวเอย หน้าเอย ขนตา สไตล์การแต่งตัวมันต้องมีการเปลี่ยนตลอดค่ะ ถามว่าทุกวันนี้พรีมก็ยังไม่ได้พอใจ แต่ว่าก็แฮปปี้ เหมือนสบายใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นมากกว่าแต่ก่อน มันเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น”

อย่างบทบาทนี้ในเรื่อง ชายแพศยา มันไกลตัวเราไหม ?

“คือโดยบุคลิกนะคะ ไม่ได้ไกลตัวมากค่ะ คือจริงๆ พลอยรุ้ง ในเรื่องก็อายุไล่กับพรีม พลอยรุ้งอาจจะใจร้อนไปหน่อย คือพรีมอ่านแล้วรู้สึกว่า ถ้าเป็นเราเราคงไม่ใจร้อนขนาดนี้ เราคงไม่รีบไปบุกเขาขนาดนี้ แต่นั่นมันก็คือเป็นความสนุกของเรื่อง ไม่งั้นเรื่องมันก็ไม่เดินค่ะ

ความคล้ายกันก็คือจริงๆ เราก็มีความทะมัดทะแมงที่เหมือนกัน มีความไม่ค่อยง้อผู้ชาย เราไม่ได้ความรักเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา พอเราไม่ได้โดนความรักบังตา ความรักไม่ได้ทำให้เราตาบอดมันก็เลยทำให้เรามองเห็นเล่ห์เหลี่ยมของคนง่ายขึ้น อันนี้มันก็จะแบบใกล้เคียงกัน”

แปลว่าถ้ามีรักก็ไม่ใช่คนคลั่งรัก ?

“เออ พรีมไม่ใช่คนคลั่งรัก คือเราจะไม่ค่อยทำให้แบบว่า ความรักมันไม่ค่อยเป็นจุดศูนย์กลางของเรา ณ ตอนนี้นะออกตัวไว้ก่อน ก็เลยสนุกกับการเล่นเป็นตัวพลอยรุ้ง เพราะเราได้ติ๊ดตี่กับผู้ชายดี เหมือนอะไรหลายๆ อย่างที่ผู้หญิงอาจจะไม่กล้าบอกกับผู้ชาย หรือไม่กล้าพูดกับเขาตรงๆ ไม่กล้าเผชิญกับเขาตรงๆ แต่ตัวละครเราได้ทำหมดเลย”

กล้าออกจากกรอบของบทบาท แต่ก่อนภาพเป็นนางเอกหวานเรียบร้อย ?

“ก็เป็นไปได้นะคะ อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พอจิตใจเราแฮปปี้พอเรามีความสุขมันก็ทำให้เรากล้าที่จะเปิดรับอะไรหลายๆ อย่าง กล้าที่จะทำอะไรหลายๆ มากขึ้น แต่ว่าการแสดงเราก็พยายามที่จะพัฒนาอยู่แล้วในส่วนของมัน เพียงแค่ว่าก็เป็นไปได้จากที่แบบเราอาจจะมัวแต่เครียด แต่เราได้มาเจอความตื่นเต้นมันทำให้เรามีความสุข กลายเป็นว่าตรงนี้มันทำให้เราดีไปด้วยโดยไม่รู้ตัว”

เหมือนคนชอบมองเราอีกแบบนึง จากตัวจริงที่เราเป็น ?

“อ๋อ ใช่ มันก็แล้วแต่มากๆ วันนึงเราเจอคนเยอะมาก แล้วมันแล้วแต่อารมณ์ด้วยวันนั้นเราอาจไปเจอกับอะไรมา เราอาจจะเจอเรื่องเครียดๆ หรือเปล่า เรามองคนทั่วๆ ไปเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครเพิ่งโดนอะไรมา หรือใครเป็นอะไรอยู่ แต่ว่ามันอาจจะด้วยบทบาทที่พรีมเคยได้รับมาก่อนหน้านี้มั้งคะ แล้วเป็นแบบสาวหวาน เป็นเจ้าหญิงเรียบร้อย เป็นลูกคุณหนู แต่ว่าจริงๆ พรีมไม่ใช่ แต่ว่าใครที่ร่วมงานกับพรีมก็จะรู้ว่า เออ ไม่เหมือน ไม่ใช่ พอมาได้รับบทแบบนี้ก็เข้าทางเรา”

การร่วมงานกับนักแสดงใหม่ๆ คนใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อนแอบมีเกร็งๆ บ้างไหม ?

“ไม่ค่อยเกร็งแล้วค่ะ เพราะหลังๆ เราเริ่มเป็นรุ่นใหญ่แล้ว(หัวเราะ) ถ้าตอนเมื่อก่อนที่เราเป็นเด็กน้อยเราไปร่วมงานกับใคร เราก็จะกลัว คือกลัวเป็นตัวถ่วงเขา แต่พอทุกวันนี้รู้สึกเหมือนเราเจอกับหลายๆ อย่างค่ะ เหมือนเรามีความสู้มากขึ้น เหมือนเราเริ่มมีความมั่นใจในความสามารถตัวเอง อาจจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่า

คือเมื่อก่อนเราอาจจะกลัวว่าเราเป็นตัวถ่วง เราก็เลยจะเกร็งเวลาไปเจอนักแสดงใหม่ๆ เราไม่รู้ว่าจะทำได้ดีเท่าเขามั้ย แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมั่นใจกับฝีมือของเราขนาดนั้นนะ แต่ว่าอย่างน้อยมันมีความมั่นใจมากขึ้น ว่า อุ้ย ถ้าสมมติเราไปเจอคนที่เก่งกว่า โอเคฉันจะรับมือกับยังไง ฉันจะต้องฮึบตัวเองยังไง ฉันจะทำยังไง มันมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหา หรือในการอยู่กับคนๆ อื่นได้มากกว่าค่ะ ก็เลยไม่ค่อยเกร็ง แล้วก็ไม่เกร็งเพราะว่าเราก็รู้ตัวว่าเราเป็นคนอยู่ง่าย เป็นคนอยู่ได้กับทุกคนค่ะ ก็เลยไม่ค่อยเกร็งแล้ว”

ที่บอกว่าเราเป็นรุ่นใหญ่แล้ว เรื่องอายุหรือว่าฝีมือ ?

“อายุ(หัวเราะ) ฝีมือไม่ค่อยค่ะ ผีมือจริงๆ แล้วมีหลายคนที่เก่งมาก เพิ่งเข้ามานิดเดียวเองแต่เก่งกันแล้ว แต่อายุเราจะเริ่มสังเกตจากการที่เริ่มมีคนมาไหว้เรามากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีคนคิดว่าเราแก่กว่าเขา พรีมก็เลยจะชอบถามอายุเท่าไหร่ แต่จริงๆ ก็คือรุ่นเดียวกัน

แต่บางทีก็จะเจอแบบ อ๋อ 19 ครับ 19 เองเหรอ เริ่มอารมณ์แบบนั้นแล้ว แล้วก็จะเริ่มเข้าใจตอนสมัยก่อนที่เราไปไหว้รุ่นใหญ่ แล้วรุ่นใหญ่ก็จะชอบมาถามเราว่าแบบ น้องอายุเท่าไหร่ น้องเด็กน้อยมาก เราเข้ามาตั้งแต่เด็ก 14-15 ค่ะ คนก็จะมองว่าเราต้องอายุ 30 กว่าแล้วแน่ๆ เลย ปีนี้ 27 แล้วค่ะ แต่พรีมก็จะบอกทุกคน 26 เพราะเราเกิดปลายปี”

ตอนนี้นักแสดงใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะเรามีแอบหวั่นๆ บ้างไหม ?

“ก็หวั่นนะ มันก็ทำให้เราตื่นตัวมากขึ้น ไม่ได้หวั่นแบบว่า เฮ้ย จะเข้ามาแย่งพื้นที่ฉันอะไรอยู่แล้ว แต่เออมันทำให้เราเหมือนเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับเรา ว่าเอ้ย แบบไม่ได้นะเราจะนิ่งๆ ไม่ได้นะ เราต้องคอยพัฒนาความรู้ อัปเดตในทุกๆ อย่างของตัวเองนะ แต่ก็ดี รู้สึกว่าพอมันมีอะไรใหม่ๆ มันก็ทำให้เกิดเคมีใหม่ๆ ทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ขึ้นมันก็ดีค่ะ”

ที่ผ่านมาพรีมใช้พระเอกเปลืองเหมือนกันนะ ?

“ไม่จริง หนูเจอแต่คนเดิมๆ (หัวเราะ) พรีมเจอรุ่นใหญ่เกือบทุกคน แต่รุ่นตัวเองไม่ค่อยได้เจอ รุ่นตัวเองสังเกตพรีมยังไม่เคยได้ร่วมด้วยขนาดนั้น พี่เจมส์ มาร์ พี่หมาก พี่เจมส์จิ รุ่นนี้พรีมไม่เคยเล่นด้วยสักคนนึง แต่อัปเวลไปเลย พี่ป๋อ พี่อั้ม พี่ชาคริต พี่บอย พี่เกรท พี่สมาร์ท รุ่นใหญ่หนูร่วมงานมาหมดแล้ว

พอเจอรุ่นนั้นมาเราไม่ค่อยเกร็งแล้วไง รุ่นเดียวกันจริงๆ ที่ได้ร่วมงาน มีไอซ์ มีมาสุ มีพี่บอม แค่นี้ คนอื่นคือรุ่นใหญ่หมดเลย มันก็เป็นประสบการณ์คนละแบบเลยค่ะ แต่ว่ามันชาเลนจ์ดีนะคะการที่เราได้เจอรุ่นใหญ่มาตั้งแต่เราเด็ก ทำให้เราเหมือนเข้ามาปุ๊บสาดเลย”

พอโตขึ้นด้วยบทบาทด้วยอะไรความเซ็กซี่ความแซ่บก็มากขึ้นเรื่อยๆ ?

“ใช่ (หัวเราะ) มันก็เพราะโตขึ้นด้วยแหละ เหมือนเราลองผิดลองถูกมานานกับความพยายามทำความรู้จักกับตัวเอง ว่าเราเป็นคนแบบไหน เราชอบอะไรไม่ชอบอะไร พอเราโตขึ้นเราเริ่มรู้ว่าอะไรที่เราชอบไม่ชอบ เราใส่แบบนี้แล้วเรามั่นใจ หรือว่าคาแร็กเตอร์เราเป็นแบบนี้แล้วเรามั่นใจมากขึ้น พอเหมือนค่อยๆ เผย

เมื่อก่อนพรีมก็จะเกรงว่าแฟนคลับจะรู้สึกยังไง คนที่เคยติดตามเรามาตั้งแต่เด็กๆ จะรู้สึกยังไง แต่ทุกคนกลับสนับสนุน ทุกคนกลับชื่นชม ไม่ได้สนับสนุนให้เราโป๊นะคะ แต่สนับสนุนให้แบบ เฮ้ย เด็กมานานเป็นสาวได้แล้ว โตได้แล้ว

จริงๆ ทุกคนจะชอบพูดกับพรีมว่า เรามีแววที่จะเป็นสาวได้ แต่เราแค่ไม่เคยกล้าที่จะทำ ทั้งๆ ที่จริงๆ ถ้าเราทำมันต้องดีแน่ๆ คนต้องเห็นเสน่ห์ของเราเพิ่มขึ้นมาแน่ๆ เลย พอทุกคนเหมือนให้กำลังใจแล้วซัพพอร์ต ทำให้เรากล้าที่จะทดลองมากขึ้น”

พรีมแคร์คนที่ติดตามเรามาตลอดตั้งแต่เด็กด้วย ?

“ด้วยค่ะ เพราะสุดท้ายเหมือนเราก็เติบโตมาด้วยกัน สุดท้ายเราต้องยอมรับว่าเราเป็นเหมือนสินค้าชนิดนึงเหมือนกัน ถ้าเราเป็นแบบนี้แล้วไม่มีใครซื้อเรา เราก็ไม่รู้จะเป็นแบบนี้ไปทำไม เป็นแบบนี้ในสายตาที่เราพรีเซนต์ออกมา เพราะไม่งั้นถ้าเราเป็นในแบบที่เราอยากเป็น” เหมือนแบบถ้าเราสินค้าตัวนี้ออกมาแล้วเป็นสีที่คนไม่ชอบ

สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็ไม่ชอบ เราเองก็ไม่แฮปปี้ มันก็ไม่มีใครแฮปปี้ เราก็เลยรู้สึกว่าจะพยายามหาจุดตรงกลาง โอเค สินค้านี้ตัวเราชอบแล้วมั่นใจที่เราจะเป็นแบบนี้ แต่งตัวให้ตัวเองแต่งสีให้ตัวเองเป็นแบบนี้ และในเวลาเดียวกันคนที่อยู่กับเราเขาก็แฮปปี้ เราก็แฮปปี้ มันก็เหมือนวินๆ ทั้งคู่ค่ะ”

เหมือนเรายอมรับได้ที่จะไม่ต้องเป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ ?

“คือคนเรามันก็มีหลายมุมค่ะ ถามว่าพรีมก็ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา พรีมไม่ได้ตื่นมาแล้วเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรากล้าที่จะดึงมุมนั้นออกมาให้มันชัดขึ้น สมมติพรีมมีประมาณ 5 มิติที่เป็นตัวพรีม แล้วมิติเนี่ยเป็นมิติที่คนแฮปปี้ เป็นมิติของเราจริงๆ แล้วเป็นมิติที่คนชอบที่สุด พรีมรู้สึกว่าก็เลือกที่จะดึงมิตินี้ออกมาให้มันเด่นชัดขึ้น มิติอื่นๆ ที่เราใส่เสื้อยืดกะโปโลอยู่บ้านก็เก็บไว้ให้ตัวเองก็ได้ คือเราก็แฮปปี้อยูดี”

เวลาโพสต์เซ็กซี่คนเข้ามากดไลก์คอมเมนต์กระจาย ?

“ใช่ พรีมเห็นส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนฉีดยากันเองค่ะ(หัวเราะ) เพื่อนๆ ซัพพอร์ต ก็ตลกดีค่ะ แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ คือขอให้ทุกคนดูแล้วยังรู้สึกว่า เขาดูแล้วไม่ได้รู้สึกเราพยายามที่จะเป็นคนอื่น แต่เขาดูแล้วยังมองว่า เออ ยังเป็นตัวพรีมอยู่ ก็ดีใจค่ะ เพราะจริงๆ พรีมก็แบบอาจจะเป็นเพราะว่าโตมาแบบฝรั่งด้วยมั้งคะ เหมือนตั้งแต่เด็ก

จริงๆ เมืองนอกแต่งตัวกันอย่างนี้ตั้งแต่อายุวัยรุ่นกันเลย เราค่อนข้างชินกับการเห็นภาพแบบนั้น ฉะนั้นพอถึงเวลาเรากล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เราก็เลยโอเคกล้าที่จะแต่งตัวมากขึ้น บวกกับอุส่าออกกำลังกายมาตั้งนาน เราก็ต้องแบบอยากโชว์บ้างอะไรบ้าง”