ผวาอีก พ่อฆ่าลูก 3 ขวบ เอาดินยัดปากอุดจมูก ยังจับตัวไม่ได้ พบกระดาษฝังหลังบ้าน รายชื่อคนในครอบครัวที่ตั้งใจจะฆ่า

จากกรณีเหตุการณ์ของผู้ที่เป็นพ่อแท้ๆ คือ นายรณชัย อายุ 27 ปี อุ้มลูกน้อยวัย 3 ขวบ ออกจากบ้านในช่วงเช้ามืด หนีหายเข้าไปในป่ามันสำปะหลังบริเวณหลังบ้าน หมู่ 22 ต.บ้านไร่ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ แล้วหลังจากนั้น ก็มาพบว่าเด็กหญิงกลายเป็นศพถูกดินยัดอุดปากอยู่ภายในไร่มัน ซึ่งเรื่องนี้ นางอนงค์นาฎ อายุ 55 ปี แม่ของนายรณชัย ยืนยันว่า เป็นฝีมือของบุตรชาย ที่คาดว่าน่าจะเกิดอาการหลอน หลังจากไปเที่ยวสำมะเลเทเมาในช่วงเทศกาลปีใหม่แบบมาราธอน ไม่ได้หลับได้นอนนานข้ามวันข้ามคืน

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลาดยาว กำลังกระจายกำลังกันติดตามไล่ล่าตัวนายรณชัย ซึ่งคาดว่า ไม่น่าจะหนีไปได้ไกล เนื่องจากหลังก่อเหตุได้ใช้รถจักรยานยนต์ สีดำ ซึ่งมีน้ำมันเหลืออยู่แค่ครึ่งถังขับขี่หลบหนี โดยแม่ของนายรณชัย ระบุว่า ตอนที่บุตรชายหนีไป เจ้าตัวไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 4 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้าน พบว่า นางอนงค์นาฎ อายุ 55 ปี ย่าของเด็กน้อย และเป็นแม่ของผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนี กำลังมีการจัดเตรียมสถานที่เพื่อจัดงานสวดอภิธรรมศพให้กับหลานสาว ซึ่งศพได้ถูกเคลื่อนย้ายนำกลับมาส่งให้คืนกับญาติที่บ้าน เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ และบรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าสลด โดยมีญาติพี่น้องเดินทางมาร่วมกันจัดงาน พร้อมกับต่างสาปแช่งพ่อของเด็กที่ฆ่าลูกน้อยของตนเองอย่างเหี้ยมโหด

จากการสอบถามนางอนงค์นาฎ เปิดเผยว่า ผลการชันสูตรสภาพศพของหลานสาว ทางแพทย์โรงพยาบาลลาดยาวได้ระบุการเสียชีวิต มาจากการขาดอากาศหายใจช่วงบน ซึ่งสภาพศพของน้อง มีทั้งดินอุดที่ปาก ที่จมูก และตาทั้ง 2 ข้าง แต่ร่องรอยทำร้ายอื่นๆ ไม่พบแต่อย่างใด มีเพียงรอยบาดแผลที่หน้าผากของหลาน ที่แพทย์ยังไม่ลงความเห็นว่า เป็นแผลที่ถูกทำร้าย หรือเป็นแผลที่เกิดขึ้นตอนถูกอุ้มร่างไปที่ป่ามัน อย่างไรก็ตาม นางอนงค์นาฎ ยังกล่าวด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา นายรณชัย ลูกชายได้ออกไปปาร์ตี้สังสรรค์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ นานข้ามวันข้ามปี จนเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 บุตรชายก็เริ่มมีอาการไม่หลับไม่นอน และยังคงออกไปปาร์ตี้สังสรรค์ตามปกติอยู่ จนกระทั่งมาก่อเหตุ อุ้มลูกสาวของตัวเองไปฆ่าหมกไร่มัน

นายรณชัย เมื่อก่อนเคยไปทำงานอยู่ที่ กทม. และได้พบรักกับ น.ส.ปพัศราพร ก่อนจะอยู่กินและมีลูก แต่หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็เลิกแยกทางกัน โดยนายรณชัย หอบลูกสาวกลับมาให้ตนเลี้ยงที่บ้าน ส่วน น.ส.ปพัศราพร ก็อยู่ทำงานในพื้นที่ จ.นนทบุรี หลังจากที่บุตรชายย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน อ.ลาดยาว ก็พบว่า มีอาการทางประสาทอยู่ ซึ่งก็ยังคงต้องกินยารักษาอยู่เรื่อยมา แต่ตัวลูกชายไม่ค่อยชอบจะทานยา อีกทั้ง มันก็ชอบกินเหล้าเบียร์อยู่เป็นประจำ แถมยังชอบสูบกัญชาด้วย ซึ่งตั้งแต่ก่อนวันปีใหม่ มันอาการมันก็ยังปกติดีอยู่ ยังอุ้มหยอกล้อกับลูกอย่างสนุกสนาน แต่พอหลังจากวันปีใหม่ ก็ขี่รถหิ้วเหล้าไปกินที่กระท่อมท้ายไร่คนเดียว แล้วอาการก็เปลี่ยนไปทันที จนมาเกิดเหตุสลดขึ้น อยากให้ลูกรีบมามอบตัวโดยด่วน

ด้าน นายไพศาล ซึ่งเป็นตาของเด็ก เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนที่นายรณชัยอยู่กินกับบุตรสาวของตน เจ้าตัวเขาก็ชอบเสพยาเสพติด ทั้งไอซ์ และยาบ้า ซึ่งบุตรสาวตนก็ทนไม่ไหว จึงขอเลิก และแยกทางกัน ส่วนหลานสาวคนนี้ ตนรักมาก แล้วยิ่งมารู้เรื่อง ก็ยิ่งช็อกตกใจ จึงได้รีบเดินทางมาที่นครสวรรค์ ซึ่งก็อยากจะวิงวอนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ตามจับตัวอดีตลูกเขยรายนี้ให้ได้โดยเร็วด้วย หากยังจับไม่ได้ ตนก็จะไม่ยอมเผาร่างหลานสาวอย่างเด็ดขาด

ขณะที่ น.ส.ปพัศราพร แม่ของเด็ก กล่าวระบุว่า ตนกับนายรณชัยเลิกรากันมานานกว่า 2 ปีแล้ว และเพิ่งจะขาดการติดต่อกันได้ประมาณ 1 ปี แต่ยังคงมีการติดต่อกับบุตรสาว และนางอนงค์นาฎ ย่าของบุตรอยู่ตลอด ซึ่งตนก็ทำงานอยู่ในพื้นที่ จ.นนทบุรี แล้วก็ต้องมาช็อก เมื่อทราบข่าวช่วงตี 4 ว่าบุตรสาวถูกอดีตสามีฆ่าตาย จึงได้รีบเดินทางกลับมาที่บ้านลูก ที่ จ.นครสวรรค์ และเมื่อมาถึง ก็ต้องยิ่งตกใจเข้าไปอีก เมื่อทราบว่า ทางตำรวจพบหลักฐานว่า อดีตสามีนำถังแก๊สไปฝังดินไว้ที่บริเวณหลังบ้าน โดยมีแผ่นกระดาษถูกฝังไว้พร้อมกับถังแก๊สด้วย เมื่อเปิดกระดาษออกมาตรวจสอบ ก็พบว่า มีรายมือเขียนถึงรายชื่อที่จะลงมือฆ่า ทั้งครอบครัวตนและครอบครัวของอดีตของสามีให้หมด โดยเรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานไปตรวจสอบทั้งหมดแล้ว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการเชิญตัวย่า และแม่ของเด็กไปสอบปากคำ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อเตรียมขอศาลในการอนุมัติออกหมายจับ และคาดว่า น่าจะมีการออกหมายจับในช่วงบ่ายวันนี้ ส่วนการติดตามไล่ล่าตัว นายรณชัย ทางเจ้าหน้าที่ยังคงติดตามไล่ล่า พร้อมกับมีการกระจายกันไปเฝ้าติดตามๆ บ้านญาติ และเพื่อนของผู้ต้องหา ซึ่งทางตำรวจเชื่อว่า ผู้ต้องหายังคงหลบหนีไปได้ไม่ไกลนัก