เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่มีรายชื่อถูกเอี่ยวคดีฟอกเงิน เกี่ยวพันธ์คดี Forex-3D สำหรับ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวมีโอกาสได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวชนครั้งในงานแถลงข่าวละครเวทีแห่งปี พิษสวาท เดอะมิวสิคัล ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์

โดย ปราปต์ปฎล ได้เผยว่า “งานนี้เป็นงานเก่าที่ คุณบอย ท่านเมตตาให้ผมรับงานนี้มา ก็อย่างที่ทราบกันว่าละครเรื่องนี้ถูกเลื่อน ทุกคนรอคอยกันมานานเรียกว่าเป็นงานเก็บงานเก่า ส่วนงานที่ทำอยู่ก็ปิดไปหลายเรื่อง ก็จะเหลือละครที่ค้างอยู่เรื่องหนึ่ง แล้วก็อันนี้ครับ”

มีผลกระทบไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ?
“กระทบเต็มๆ ครับ”

งานโดนแคนเซิลไปเยอะขนาดไหน ?
“โดยปกติชีวิตผมวันหนึ่งก็ถ่ายละครอยู่ 5-6 เรื่อง ประมาณ 5- 6 เรื่องต่อสัปดาห์ และละครใหม่ๆ ภาพยนตร์ที่เข้ามาก็ที่ติดต่อไว้ก็ยกเลิก”

เหตุผลจากเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหม ?
“จากข่าวที่นำเสนอกันไป 2 เดือนที่แล้วเที่ยวนั้น มันเหมือนผมถูกพิพากษาไปแล้ว ในโลกของโซเชียลในโลกของการสื่อสาร เมื่อมันมีการพิพากษาอย่างนั้นออกไป มันก็กระทบกับชีวิตครับ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่ามีนักแสดงหลายๆ คน ที่เขาพยายามไม่ให้เกิดข่าวหรือเรื่องราวอะไรแบบนี้”

“บางครั้งไม่ได้ผิด เขาก็ต้องทำนิ่งทำเฉย หรือว่าโดนเรียกร้องอะไรก็ต้องหยวนๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ เพราะตัวอย่างของอย่างผมเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก เมื่อเราไม่ผิดเราก็ต้องพยายามต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองทุกคน มันก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ”

ถ้านับเป็นการสูญเสียตัวเลขประมาณเท่าไหร่ ?
“ผมว่าเฉลี่ยในรายได้ผมมันมีเฉลี่ยต่อเดือนอยู่แล้ว ที่มันเข้ามาละครประมาณ 5-6 เรื่อง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ผมโดนกระทบมาประมาณ 6 เดือนได้ ซึ่งนั่นก็คือล็อตหนึ่งของละคร ล็อตหนึ่งของละครเวลาผมทำงานทีก็ 5-6 เรื่อง เฉลี่ยเรื่องหนึ่งก็หลายล้านอยู่ครับ”

“ปกติภาระประจำเดือนของผมจะมีการผ่อนทุกอย่างในชีวิตผมก็คือ ชีวิตติดไฟแนนซ์ ไม่ได้มีธุรกิจหรืออะไรก็เป็นเรื่องของการทำมาหากิน ก็เปรียบเสมือนคนขายแรงงานครับก็คือ แต่ว่าของผมมันเป็นในเรื่องของการขายในอาชีพการแสดงครับ เพราะฉะนั้นรายจ่ายประจำเดือนมันก็มี รถ คอนโด และบ้านที่ลูกๆ ผมอยู่ หลักๆ ก็มีคุณพ่อผมที่อยู่นครสวรรค์ แล้วก็มีครอบครัวคุณแม่น้องกี๋ อยู่จันทบุรีที่ผมต้องดูแลรับผิดชอบ คุณพ่อผมก็ดูแลไม่ได้แล้วก็ต้องปล่อยไปตามมีตามเกิด คุณแม่กี๋ก็ต้องปล่อย บ้านของลูกๆ ผมที่อยู่กันก็ไม่ได้ส่งให้มาประมาณสามสี่เดือนแล้ว ตอนนี้ก็ประคับประคองชีวิตตัวเองให้มันรอดไปวันๆ ก่อน”

ตอนนี้คือเอาเงินเก็บมาใช้ ?
“ไม่เหลือเลยครับ และละครที่ทยอยปิดไปเขาจ่ายมา ลักษณะการทำงานของละครคือเขาจะแบ่งจ่าย 5-10 เปอร์เซ็นต์ ก็แล้วแต่ เป็นงวดๆ ไป ซึ่งนั่นแหละเป็นค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของผม เมื่อละครปิดไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนหมุนไปเรื่อยๆ มันไม่มีงานใหม่เข้ามาทดแทน เพราะงานมันถูกแคนเซิลไป แม้แต่นัดวันถ่ายตกลงอะไรแล้วก็ถูกยกเลิกไป”

“และโดยเฉพาะที่ผมเสียใจมากๆ คือ เรื่องของภาพยนตร์ ผมเป็นคนที่รักภาพยนตร์มาก มีการติดต่อจากค่ายใหญ่ หนังน่าเล่นมากแล้วผมก็ตกลงเรื่องคิวถ่าย ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว แล้วไม่รู้ยังไงเขาไปเปิดข่าวเหตุผลหลักๆ คือเขาเห็นข่าว เขากลัวว่าถ้าอยู่แล้วจะมีเรื่องราว คือเขาไม่รู้ว่าความจริงมันคืออะไร ที่นี้การนำเสนอผมบอกแล้วไงว่า บ้านเรามันเป็นระบบการกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย ในหลักของนิติกฎหมาย ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็คือกล่าวหาไว้ก่อน ถ้าไม่ผิดก็ไปแก้ตัวกันเอง”

“ผมก็เลยอยากฝากสื่อว่า อย่างที่ผมเคยบอกว่า สื่อคือพี่น้องเราเราอยู่ในครอบครัวกัน แต่ว่าสื่อได้รับข้อมูลมาจากเหมือนราชการ ก็เลยเข้าใจว่านั่นคือข้อมูลดี ข้อมูลจริง ก็เลยนำเสนอไปนั่นแหละคือการพิพากษาผมไปแล้ว ทีนี้ก็เหมือนกันครับระบบกล่าวหาก็คือ เมื่อมีคำพิพากษาว่าผมโดนแบบนี้ปั๊บ ผู้จ้างงานก็บอกว่าไปแก้ตัวให้เรียบร้อย ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ไม่ต่างกันเลยครับกับระบบกล่าวหากฎหมายของบ้านเรา ก็ไปแก้ตัวให้เรียบร้อยก่อนถ้าเรียบร้อยแล้วค่อยมารับงาน วันนี้ไงผมเลยต้องมาทวงถามว่าเมื่อไหร่มันจะจบสักทีเพราะว่า เท่ากับว่าชีวิตผมมันพังมาครึ่งปีแล้วใช่ไหม มันเกิดวิกฤตกับชีวิตผมแล้ว ถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยเรื่อยซักปีสองปีแล้วผมทำไงต่อ”

ปราปต์ปฎล ออกมาเปิดใจ

จากการที่ออกมาชี้แจงตัวเองสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ไหม ?
“ผมได้สบายใจพิสูจน์ในสิ่งที่ผมเป็นแค่นั้นเลยครับ ส่วนในเนื้อหาสาระเวลาผมพูดอะไรผมบอกแล้วว่าทุกอย่างผมมีข้อเท็จจริงผมมีข้อมูลผมมีไทม์ไลน์ผมมีหลักฐาน ผมไม่ใช่คนที่อยู่ในวัยที่ลมห้าวปากเร็ว พูดอะไรแล้วไม่ใช่ ผมอายุเกือบไม่กี่ปีก็ 60 แล้วเพราะฉะนั้นอยู่ในวงการนี้มา 30 กว่าปี ผมยืนยันอยู่เสมอนะครับว่าคนเรามันไม่ได้ดีแค่ข้ามวันข้ามคืนหรอก เลวก็เหมือนกันไม่ได้แค่ข้ามวันข้ามคืน ผมอยู่ในวงการนี้มา 30 ปี มันรู้ไม่ยากหรอกคำว่าชีวิตที่ผ่านมาผมทำอะไร มันทำเรื่องเลวร้ายหรือทำเรื่องที่ดีให้กับวงการหรือแผ่นดินนะครับ”

คิดว่าหลังจากนี้งานจะเริ่มกลับมาไหม ?
“ผมคาดเดาไม่ได้เลย แม้แต่ผมไม่เคยคาดเดาว่าชีวิตผมจะเป็นแบบนี้ จากคนที่มีงานตลอดแบบนี้มันยังเกิดวิกฤตนี้กับผมเลย เพราะงั้นผมคาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ”

วางแผนหลังจากนี้ยังไง ถ้างานมันยังไม่มีหรือว่ายังไม่ดีขึ้น ?
“ไปล่ะครับ ผมคิดว่าวงการมันคงไม่เหมาะกับผม ผมมาจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ผมมาจากลูกชาวไร่ชาวนาจะไม่แปลกที่จะกลับไปเหมือนเดิม”

ให้เวลาตัวเองถึงเมื่อไหร่ ?
“เดี๋ยวคำตอบมันจะมาเองแหละ เมื่อมันได้คำตอบจากสิ่งที่เรากำลังประสบอยู่ ทุกอย่างมันจะบอกเองว่าควรไปได้หรือยัง ถ้ามีความรู้สึกว่าตรงนี้เขามองว่าผมไม่ใช่ความสุขของที่นี่ ไม่ใช่ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้ว เพราะข่าวที่นำเสนอไปมันพิพากษาผมไปแล้ว แล้วผู้ว่าจ้างงานเขาก็รู้สึกอย่างนั้น ทั้งๆ ที่บ้านเรา อย่างที่ผมบอกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายบ้านเมือง ก็คือ กล่าวหากันก่อนแล้วค่อยไปพิสูจน์กันเอาเอง ยังไม่ถูกตัดสินเป็นจำเลยแล้ว ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลยตกเป็นจำเลยแล้ว นักโทษก็ต้องไปอยู่ในเรือนจำอะไรงี้ คนที่ทำงานอยู่ก็ต้องขาดงาน ต้องตกงาน ซึ่งผมว่ามันโหดร้ายจัง ผมอาจจะมีความรู้สึกว่า เรา 30 กว่าปีแสดงว่า ความดีงามที่เราทำมาโดยตลอดมันปกป้องเราไม่ได้ แล้วก็ต้องไปอยู่ในมุมที่ควรจะต้องอยู่แบบ ไม่ต้องมาอยู่ในสังคมกว้างๆ ก็ได้ไปอยู่ในสังคมแคบๆ ก็ได้”

ต้องใช้เวลาพิสูจน์นานไหม ?
“ผมไม่แน่ใจ คนที่กำหนดได้ว่านานไม่นานคือคนที่มีอำนาจในมือ ก็เขาเป็นคนกล่าวหาผม แล้วก็มีคนส่งข้อความให้ผมทั้งที่ผมเพิ่งคุยไปนะครับ แล้วจริงๆ มันมีการชี้แจงมาอย่างชัดเจนโดยตลอด เรื่องรถยนต์นะครับผมฝากไปถึงพี่สรยุทธด้วยนะครับ บอกว่ารถคันนี้อยู่ในการครอบครองของปราปต์ปฎล ผิดนะครับพี่ ผมไม่เคยครอบครองรถคันนี้ รถคันนี้ไม่ใช่รถของผมนะครับ ไปทำความเข้าใจใหม่นะครับพี่ยุทธ เพราะว่าการที่พี่พูดอะไรออกไปแล้วก็สิ่งที่พี่พูดออกไปแล้วก็มีความรู้สึกว่า มันเกิดประเด็นอีกแล้ว เพราะว่าคนที่พูดมันน่าเชื่อถือไง เพราะงั้นผมถึงได้บอกว่าเช็กดีๆ ครับ ถ้าพี่อยากรู้ส่วนตัวกับผม พี่เรียกผมไปหาได้ตลอดเลยครับ ผมทำงานอยู่ช่องสามครับพี่ กี่ปีแล้วที่เราเจอกันเพราะงั้นผมเหมือนน้องเพราะเราเจอกันตลอด”

“ใครไม่เข้าใจผม หรืออยากรู้เรื่องส่วนตัว คือจริงๆ ผมเบื่อจะพูดเรื่องนี้แล้ว เพราะผมมีความรู้สึกว่าคนอย่างผมคือ พี่น้องสื่อมวลชนจะรู้แล้วว่าผมถ้าไม่สาหัสผมจะไม่ค่อยพูด ผมจะนิ่งๆ ผมรู้ว่าผมเหมาะกับอะไรมากกว่า ผมเหมาะกับการอยู่นิ่งๆ แล้วก็ทำงานไป ผมเหมาะกับการที่จะแอบทำงานเพื่อสังคมที่ผมทำมาโดยตลอดเกือบ 30 กว่าปี ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าผมทำอะไร ผมไม่เหมาะกับการที่อยู่ๆ จะมา ต้องการเป็นกระแสต้องการเป็นข่าว ผมไม่ถนัดครับ”

มองว่าโดนแกล้งไหม ?
“นำเสนอข่าวกันมาขนาดนี้จนเจอกันขนาดนี้ ยังจะต้องถามอีกหรอครับ วันนี้ให้เกียรติสถานที่เขา คุยเรื่องงานเรื่องนี้แล้วก็ผมมาเพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าผมมีความสุขกับช่องวันและกับพี่บอยมาก คือเชื่อไหมว่า เขสไม่มีคำถามหรือเรื่องแคลงใจกับผมในเรื่องนี้เลย ซึ่งมันเหมือนกับในที่เราเป็นอยู่มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้ใหญ่ท่านมองเห็น มีเมตตา แล้วก็ไม่มีสะดุดอะไรกับที่ผมจะทำงานต่อแล้วก็ละครที่มีอยู่ แล้วก็ตอนนี้งานที่มีอยู่ก็เป็นกับของช่องวัน”

เคยถามพี่บอยไหม ?
“ไม่เลยครับไม่เคยคุย ไม่ต้องเลยเพราะว่า คนที่มีปัญหากับผมเขาบอกผู้จัดมาไง แต่ทางนี้เค้าไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แล้วเจอหน้าเขาก็ยังคุยกันปกติทำงานปกติ เป็นยังไงทักทายกันปกติเลย ไม่ได้มีอะไรที่มันแตกต่างไปจากตอนที่ไม่มีข่าว ตอนที่มีข่าวเขาก็เป็นแบบนี้ นั่นก็คือสิ่งที่ท่านเมตตาแล้วก็ความเมตตาในแง่ที่ว่า ผมเน้นเลยนะว่าดุลยพินิจ ของคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคน มีส่วนสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ที่สามารถตัดสินชีวิตใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้งาน ดุลยพินิจมีส่วนที่จะตัดสินใจอย่างมาก และมีผลอย่างมากถ้าผมไม่เข้มแข็งพอ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ เจอเด็กบางคนที่มันโดนขนาดนี้ถ้ามันหนักๆ เป็นโรคซึมเศร้าหรือฆ่าตัวตายก็เป็นได้ ผมว่ามันเกิดขึ้นได้นะครับ”

“ก็ฝากไปถึงพี่ๆ น้องๆ ทุกคนนะครับ ขอบคุณมากที่เข้าใจกันแล้วก็ ยังรับฟังในสิ่งที่ผมพูด แล้วก็ยังเข้าอกเข้าใจและยังมีรอยยิ้ม หลังจากตรงนี้ก็มีกำลังใจเพราะเหมือนอย่างผมได้รับข้อความจากข้าราชการของบ้านเมืองส่งข้อความมาหาผมให้กำลังใจเยอะมาก และบอกว่าเข้าใจ เข้าใจว่ากำลังโดนอะไรอยู่ ก็ฝากขอบคุณข้าราชการดีๆ”