นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการพูดคุยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกับพรรคก้าวไกล ว่า ในวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา 8 พรรคการเมืองได้ลงนามเอ็มโอยูพรรคเพื่อไทยได้แจ้งความประสงค์ไปยังแกนนำพรรคก้าวไกลถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคก้าวไกลบอกว่าขอเวลาอีก 2-3 วัน เพื่อจะเอาคำตอบมาให้ และขณะนี้ก็รอพรรคก้าวไกลอยู่

ส่วนการที่หลายคนในพรรคก้าวไกลออกมาระบุว่าตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกลเท่านั้น นายประเสริฐ ระบุว่า ตนว่ากองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่งก็ประสงค์ที่จะให้ ส.ส. และแกนนำของแต่ละพรรคเป็น และหากมองอดีตที่ผ่านมาปี 2562 ประธานสภาก็เป็นนายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคลำดับที่ 4 และตนมองว่าด้วยความที่เสียงใกล้กันมาก โดยเฉพาะ ส.ส. แบบแบ่งเขตที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้ 112 เท่ากัน เพราะฉะนั้นอยากให้มีการพูดคุยกันเพื่อหาทางออก และเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเคยประสานงานไปแล้ว จึงอยากให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปได้ด้วยดี เพราะได้ลงนามเอ็มโอยูไปแล้ว ไม่อยากให้บางเรื่องมาเป็นอุปสรรค

ลั่นต้องคุยก้าวไกล

หากต้องนัดพูดคุยกันอย่างเป็นทางการอีกครั้งนึงหรือไม่ เพราะก้าวไกลประกาศชัดเจนว่าตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกล นายประเสริฐ ระบุว่า ต้องมีการพูดคุยกัน เพราะหากปล่อยให้ต่างฝ่ายออกมาพูดก็ไม่จบซะที และยิ่งนานไปก็ไม่ใช่ผลดี หากมีการพูดคุยอย่างเป็นทางการเรื่องคงจบได้ ที่ผ่านมาการคุยกับพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมอื่นๆบรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดีทุกครั้ง ไม่มีบรรยากาศที่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด

เมื่อช่วงก่อนหน้าของวันเดียวกันนี้ ที่นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาแถลงยืนยันว่า ตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกลจะต้องคุยกับพรรคก้าวไกลใหม่หรือไม่เพราะพรรคเพื่อไทยเคยเสนอเรื่องนี้ไปแล้ว นายประเสริฐให้ความเห็นว่า ทั้ง 2 ฝั่งต่างออกมาพูดว่าตำแหน่งต้องเป็นของฝั่งไหน ซึ่งตำแหน่งประธานสภาเป็นตำแหน่งสำคัญ อยากให้คำนึงถึงความเหมาะสม แต่ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ยอมพรรคเพื่อไทยก็คงต้องกลับมาหารือกันอีกครั้งว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร หรือกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยจะว่าอย่างไร

  • ก้าวไกล แถลงเหตุผล 3 ข้อต้องเป็นประธานสภาฯ เชื่อเพื่อไทยไม่ถอนตัวแม้ชวด

ยังหนุนพิธาเป็นนายกฯ

เมื่อถามว่าจะไปถึงขั้นกระทบกับการจับมือตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายประเสริฐ ย้ำว่า เรายืนยันเจตนารมณ์ชัดเจนตั้งแต่ต้น และวันนี้ยังยืนยันอยู่ว่า พรรคเพื่อไทยสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จุดยืนนี้ไม่เปลี่ยน ส่วนเรื่องประธานสภาเป็นคนละกรณีกัน ซึ่งไม่มีในเอ็มโอยูด้วย

ส่วนกรณีที่นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี ออกมาระบุว่าหากถูกบีบคั้นขนาดนี้พรรคเพื่อไทยควรจะแยกออกมาเป็นฝ่ายค้านนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า คงเป็นเพียงความเห็นและความรู้สึกส่วนตัวของนายสมคิด และตนยังเชื่อว่าการพูดคุยน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

ติงก้าวไกลได้ปาร์ตี้ลิสต์เยอะกว่าแค่ 10 เสียง

เมื่อถามว่า 10 เสียงที่ห่างกันไม่ได้มากพรรคเพื่อไทยถอยให้กับพรรคก้าวไกลพอสมควรหรือยังนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า พอสมควร เพราะ 10 เสียงเป็นคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่ต่างกันเท่านั้น ซึ่งที่จริงหากพรรคก้าวไกลได้รับการเลือกตั้ง ส.ส. เกินครึ่งหนึ่ง คือ 250 จะจบปัญหานี้ ไม่เกิดแน่นอน และในอดีตที่ผ่านมาพรรคที่ได้ลำดับที่ 1 กับลำดับที่ 2 จะมีข้อแตกต่างกัน มีความชัดเจนว่าลำดับที่ 1 คะแนนห่างจากลำดับที่ 2 และเป็นคนละฝั่งกัน แต่ครั้งนี้เป็นฝั่งพรรคประชาธิปไตยเหมือนกัน และไม่มีพรรคใดที่ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่ง จึงอยากให้ทุกฝ่ายมองถึงความเหมาะสม ย้ำว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคั เป็นตำแหน่งศักดิ์ศรีของประเทศ เป็นหมายเลข 1 ของนิติบัญญัติ เพราะฉะนั้นการตั้งประธานสภาต้องใช้ความละเอียดอ่อน และอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าคุยกัน ทางพรรคก้าวไกลได้นายกฯเบอร์ 1 ไปแล้ว ถ้าเพื่อไทยจะมีโอกาสทำงานตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

“หัวหน้าพรรคหนึ่งเป็นนายกฯ และหัวหน้าพรรคหนึ่งเป็นประธานสภาก็ไม่เลวนะ ผมว่า”

เผยก้าวไกลลุยเดี่ยวดีล ส.ว.

ส่วนเรื่องการพูดคุยกับ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในส่วนของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไร นายประเสริฐ กล่าวว่า ถ้าในนามของพรรคไม่มี เพราะเท่าที่คุยกับพรรคก้าวไกลจะเป็นคนประสานเอง เนื่องจากเป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรให้เราช่วยเราก็ยินดี 

แนะชลน่าน-ศิธาเคลียร์กันเร็วๆ

เมื่อถามถึงกรณีของ นายชลน่าน กับ นาวาอากาศตรี ศิธา ธิวารี แคนดิเดตนายกฯ พรรคไทยสร้างไทย จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ นายประเสริฐ หัวเราะ ก่อนตอบว่า อยากให้บรรยากาศดีกว่านี้ และได้หันไปมองผู้สื่อข่าวและถามว่า จะให้พูดอย่างไรดี ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า จะต้องเคลียร์ใจกันโดยเร็วหรือไม่ นายประเสริฐ จึงพยักหน้าและระบุว่า ต้องเคลียร์ใจกันเร็วๆ ที่จริงเมื่อก่อนทั้งสองฝ่ายก็รักกันดี ถูกคอกัน ซึ่งนายชลน่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อมาเจอคำถามในลักษณะเหมือนจะจี้ท่านถามครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อีก ตนว่าคงทำให้ท่านหงุดหงิดพอสมควร แต่ตนคิดว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านคงให้อภัย