นศ.สาวปี 2 ตรวจพบเชื้อ HIV กินยานานกว่าปี โดนเพื่อนบูลลี่จนทนไม่ไหวต้องลาออก สุดท้ายแพทย์วินิจฉัยพลาด

ตามรายงานของ CNT นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 ในมณฑลเจียงซี ประเทศจีน ไปโรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้วเพื่อตรวจร่างกาย เนื่องจากเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย จากผลตรวจร่างกายเบื้องต้น แพทย์สงสัยว่าเธออาจติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือเอดส์ จึงขอให้เธอเข้ารับการตรวจที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคอีกครั้ง

ต่อมา แพทย์ของศูนย์ฯ วินิจฉัยยืนยันว่าเธอเป็นโรคเอดส์จริงๆ เธอถูกบังคับให้แจ้งเรื่องดังกล่าวกับสถานศึกษา นับจากนั้นเธอก็เริ่มถูกรังแกด้วยวิธีต่างๆ จนสุดท้ายทนไม่ไหวและต้องออกจากมหาวิทยาลัยในที่สุด

อย่างไรก็ดี หลังจากเธอกินยารักษาโรคเอดส์มาเป็นเวลาหนึ่งปี เมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลกลับเปิดเผยว่าการวินิจฉัยของเธอนั้นผิดพลาด เธอไม่ได้เป็นโรคเอดส์!!!

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันหนึ่ง หลังจากเธอไปที่โรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยหนานชาง เพื่อตรวจสุขภาพโดยรวมตามปกติ แต่ผลการตรวจกลับพบว่าเธอไม่มีเชื้อเอดส์ เมื่อได้รับผลดังกล่าว พ่อจึงพาเธอไปที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคทันที เพื่อขอคำชี้แจงสำหรับการตรวจพบเชื้อ HIV ในครั้งแรก 

หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผย พ่อของเธอกล่าวว่า ชีวิตของลูกสาวเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ เธอร้องไห้วันแล้ววันเล่า ฝันร้ายบ่อยในตอนกลางคืน และทำให้น้ำหนักขึ้น 4-5 กิโล เพราะเรื่องนี้

และเพราะพ่อของเธอรู้สึกโกรธมาก เขาจึงตัดสินใจฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกสาว แต่จากข้อมูลของผู้รับผิดชอบห้องปฏิบัติการของศูนย์ฯ ระบุว่าในขณะที่ตรวจหาเชื้อ HIV ลูกสาวของเขากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่เธอไม่ได้บอกความจริง ซึ่งส่งผลต่อผลการทดสอบ จึงเกิดเป็น “ผลบวกลวง” ไวรัสเอชไอวี

ทั้งนี้ ประเด็นข้อพิพาทระหว่างทั้งสองฝ่าย ยังคงอยู่ในกระบวนการตัดสินของศาล