ตัวแทนผู้ค้าสลากคนพิการ อัดยับรัฐบาล แก้ปัญหาราคาสลากวนลูป โอด คนตัวใหญ่ได้ประโยชน์ ผู้ค้ารายย่อยใกล้ตาย

นายอำนวย กลิ่นอยู่ ประธานสมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย เปิดเผยภายหลังบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติปรับลดโควตาสลากการแบ่งรัฐบาล ให้ผู้ค้าลงทะเบียน จากเดิมคนละ 5 เล่ม หรือ 500 ฉบับ ต่อคน เหลือ 3 เล่ม หรือ 300 ฉบับ เพื่อเปิดทางเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์ กดรับโควตาสลากจากตู้ ATM และ เข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

นายอำนวย มองว่า แนวทางนี้เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหามากกว่าเดิม เนื่องจากเป็นการแก้ปํญหาที่ไม่เข้าใจถึงโครงสร้าง และ หลักการพื้นฐาน ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในปัจจุบัน ผู้ค้าที่ลงทะเบียนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นอาชีพที่ให้ประชาชนซึ่งมีรายได้น้อยเข้าถึง เมื่อมีผู้ค้าเพิ่มขึ้น และ ผู้บริโภคมีความต้องการในสลากเพิ่มขึ้นในทุกงวดเช่นกัน การแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ “พิมพ์เพิ่มจำนวนสลาก” เพื่อกระจายให้ผู้ลงทะเบียนสามารถได้สิทธิ์ไปค้าขายตามจำนวนที่เหมาะสม อย่างเท่าเทียมกันทุกคน

แต่เมื่อมีสลากไม่เพียงพอ อีกทั้งรูปแบบการลงทะเบียนไม่สอดรับกับผู้ค้าทุกระดับ เช่น คนพิการ หรือ คนสูงอายุ ทำให้เกิดปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียน จึงทำให้มีผู้ค้ากลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ แต่ลูกค้าอีกกลุ่มไม่สามารถทำการขายได้ และ เมื่อสลากที่ได้โควตานำออกมาขายไม่สอดรับกับผู้ลงทะเบียน จึงเป็นช่องทางให้มีคนบางกลุ่ม สามารถกว้านซื้อ ในจำนวนที่เหลืออีกมาก ไปขายปั่นราคา เกินกว่ากฎหมายกำหนด

ส่วนปัจจัยที่ทำให้ แพลตฟอร์มออนไลน์ ขยายตัวจนกระทบผู้ค้าตัวเล็ก คือ การที่สลากไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า และ ผู้ค้ารายย่อยไม่สามารถรับโควตาตามจำนวนที่เหมาะสม จึงทำให้เกิดการกว้านซื้อสลากจากผู้ค้ารายย่อยในราคาเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก่อนไปจำหน่ายต่อพร้อมเพิ่มราคา ซึ่งการกระทำดังกล่าว ผิดกฎหมายอย่างชัดเจนแต่ไม่มีการจับกุม

สำหรับปัญหาสลากแพง ในฐานะ ผู้ค้าตัวเล็ก มองว่า แนวทางแก้ไข เพียงแค่ยึดหลักวิชา “เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น” มาใช้ คือ ผลิตจำนวนสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ผู้ค้ากับผู้บริโภคเกิดความสอดรับกัน เช่น ก่อนหน้านี้ได้รับโควตาคนละ 5 เล่ม หรือ 500 ฉบับ แต่มีผู้ค้าเพิ่มจาก 1 แสนคน เป็น 5 แสนคน เพียงแค่พิมพ์สลากเพิ่มให้พอดีกับคน 5 แสน เพิ่มให้ถือโควตา 5 เล่ม เท่าเดิม ซ้ำยังสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและรัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย ซึ่งอาจไม่ต่ำกว่าปีละ 2.28 แสนล้านบาท แต่น่าแปลกใจว่า เหตุใดรัฐบาลกลับเลือกวิธี “ลดจำนวนโควตา” เพราะสุดท้ายปัญหาก็วกกลับมาจุดเดิม