หลังจากที่ถูกชาวเน็ตขุดคลิปเก่าเมื่อ 9 ปีก่อน ที่ เปิ้ล ไอริณ เคยให้สัมภาษณ์ถึง ใบเตย อาร์สยาม เมื่อครั้งที่มีดราม่ามีปัญหากันเอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ชาวเน็ตต่างมองว่าคำสาปแช่งของเธอนั้นศักดิ์สิทธิ์มากๆ หลังจากที่ ใบเตย-ดีเจแมน ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ล่าสุด เปิ้ล ไอริณ ออกมาเผยสาเหตุเบื้องลึกเล่าละเอียดถึงเหตุการณ์ในอดีต ผ่านทางรายการโต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกรตัวแม่ หนูแหม่ม สุริวิภา ละเอียดยิบ
9 ปีที่แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
“ก่อนอื่นเราต้องพูดให้ทุกคนทราบก่อน ว่าคลิปที่เป็นไวรัลไป เราได้พูดไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเดือนก่อนเป็นเดือนแล้ว ด้วยคำถามที่นักข่าวถามเรา ว่ารู้สึกยังไงที่คนมาสาปแช่งเรา เราก็เลยหัวเราะขึ้นมา และพูดว่าจริงๆ เราเป็นคนไปสาปแช่งเขามากกว่า ซึ่งจริงๆ ลึกๆ เรารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น และเราก็เลยรู้ว่าถ้าเราพูดไปในอนาคตข้างหน้าเราไม่ต้องพูดแล้ว ตรงนี้จะแทนคำพูดของเรา”
“และสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่าตอนที่เราพูดเราก็จะไม่ได้ใส่เสื้อเรียบร้อยแบบนั้น แต่วันนั้นเราใส่เสื้อสีส้มและเป็นเสื้อเชิ้ตเรียบร้อยด้วย ซึ่งเรารู้ว่ามันจะต้องออกไปในทางไหน”
ในวันที่ออกมาพูดรู้สึกอย่างไร เครียดแค้นหรืออะไร ?
“วันที่เป็นข่าวตอนนั้น ด้วยความที่เราต้องเรียนให้ทุกคนทราบก่อนว่าเราเองเป็นคนที่สำคัญที่สุดคือการให้เกียรติผู้อื่น เราเป็นมนุษย์ที่ให้เกียรติทุกคนอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กเสิร์ฟไปเสิร์ฟอาหารเรายังต้องมองตาเขาและพูดด้วยความสุภาพ แม้แต่ ร.ป.ภ. เราไม่เคยเรียกเขาว่ายาม เพราะเราเล่นละครเวลาเรียกใครว่ายาม ซึ่งคาแรกเตอร์มันจะเป็นการดูถูกคน คือเราให้เกียรติทุกคนอย่างยิ่ง”
“แต่เวลานั้นเราโดนไม่ให้เกียรติในทุกมิติเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก๊อปปี้ผลงาน ซึ่งก็ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าจริงๆ แล้วมีเพลงเพลงนึง ซึ่งตอนนั้นเราจะทำเอ็มวีแล้วเราโทรไปหาผู้จัดการเรา เขาก็เลยนัดเรามาเจอและให้เรายกหูคุยกับผู้ใหญ่อีกค่ายหนึ่ง และตอนนั้นเรามีสปอนเซอร์เราเลยบอกไปว่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย เขาก็เลยถามตัวเส้นเอ็มวี เราก็เลยบอกว่าเอ็มวีเราจะนั่งรถทัวร์มา และเราจะเปลี่ยนเสื้อผ้ามีแดนเซอร์ช่วยเปลี่ยน และรถทัวร์ชนกัน ซึ่งเราก็จะเดินจากปรากฏตัวลงมาเป็นเรทคาร์เปทและหลังจากนั้นเขาหายไป แล้วก็กลายเป็นเอ็มวีของเขา ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าโกรธมากเพราะมันเป็นความคิดของเรา”
ก่อนหน้านั้นมีทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ?
“ไม่เคยเลย ไม่เคยทะเลาะแต่เราก็ยังเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นไม่มีเรื่องบังเอิญ ด้วยเหตุผลของมันมันอาจจะมีกรรมด้วยกันมา”
คำพูดเราวันนั้นเหมือนสาปส่ง ?
“ที่เรารู้สึกไม่ดีที่เขาทำเรื่องนี้ไว้บุพกรรมก็เลยชักพาให้เราได้ไปเล่นภาพยนตร์กับแฟนเขา และในบทผู้กำกับก็มาเติมให้เราตอนที่เดินเข้าไปเซ็ทฉากว่าเดี๋ยวต้องจูบกันนะ เราก็คิดว่าจูบก็จูบไม่ได้คิดอะไร พอเขาออกไปเราก็ต้องปกป้องเขา ซึ่งตอนที่ถ่ายจูบมันเป็นซีนเฉพาะหน้า แต่มือเขาจับหน้าอกเรา พอมีคนมาถามเรื่องนี้เราก็บอกว่าไม่เป็นไรมันเป็นฟิลลิ่ง แล้วพยายามไม่มีปัญหา”
“แต่หลังจากนั้นพอภาพออกไปทาง คุณดีเจแมน เขาได้โทรบอกให้ผู้ใหญ่มาบอกเราว่าเธอเป็นคนปล่อยภาพใช่ไหม ซึ่งมันเกินจากหน้าที่รับผิดชอบของเราที่เราจะไปปล่อยภาพจากบทหนังได้ จนเขาไปสั่งบอกให้ผู้กำกับตัดบทนี้ออก ซึ่งเราก็โมโหเพราะเราเล่นเต็มที่นะ แล้วก็เปลืองตัวเรา ก็ทำงานเต็มที่ สุดท้ายเขาก็ให้ผู้ใหญ่โทรมาด่าเรา มันคือหลายอย่างมาก”
“และบังเอิญหนูก็ได้ไปเล่นอีกเรื่องหนึ่งกับเขาอีก ซึ่งเขาบอกว่าถ้าคนนี้เดินเข้ามาในสตูดิโอวันนี้เขาจะเดินออก และทางผู้ใหญ่ก็เลยมาบอกเราว่า ให้เปิ้ลไปรอข้างนอก ซึ่งเรารอตั้งแต่ตอนก็เริ่มแต่งหน้าใช้เวลา 4 ชั่วโมง”
ตอนนั้นคนจะรู้สึกกับเราว่าเราเป็นบ้า ที่ออกมาพูดเรื่องต่างๆ รู้สึกเสียใจไหม ?
“หนูไม่ได้เสียใจตรงนั้น แต่สิ่งหนึ่งก็คือว่าช่วงนั้นดูจิตใจอ่อนแอจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ก็เพิ่งเสีย คุณยายก็เพิ่งเสีย น้องสาวก็เพิ่งเสีย และหนูรู้สึกว่าหนูก็มาโดนผู้ใหญ่ว่าอย่างนี้อีกแล้ว คนนี้ก็มาไล่หนูอีก ปีนั้นเป็นปีที่โดนยุงกัดแล้วหนูตบยุงเลย คือหนูปกป้องตัวเองเลย เพราะทุกอย่างมันเข้ามารอบตัว เป็นปีที่จิตใจเราอ่อนแอแต่พอเราย้อนกลับไปทำมัวแต่คิดเรื่องหยามเกียรติ พอเราเริ่มปล่อยวางเราก็รู้สึกว่าเราอยากอโหสิกรรมให้ทุกคนบนโลกมนุษย์นี้หมดเลย”
เราปล่อยวางครั้งนี้ได้ยังไง ?
“สิ่งหนึ่งแล้ว ที่เรามานั่งวิเคราะห์แล้วหลายอย่างในชีวิตมนุษย์ พอเราปล่อยวางตรงนั้นได้เราก็เลยได้บวชมาตลอดมาเกือบ 30 ครั้ง แล้วหนูชอบไปปลดปล่อยอยู่ในป่าด้วยซ้ำ ก็ต้องขอบคุณที่หนูได้เป็นพุทธศาสนิกชน และทำให้ตรงนี้มาช่วยหล่อหลอม จนเราเจออุปสรรคเจอเรื่องแบบนี้ เพราะเราไม่ได้ผ่านเรื่องนี้เราก็ได้เจออีก เดี๋ยวเราตื่นรู้ว่าถ้าเราไม่ผ่านเรื่องไหนเรื่องมันจะเข้ามาอีกสันวันนึง เราตื่นรู้เราถึงรู้ว่าเราไม่ได้ปล่อยวางเรายึดอัตราตัวตนแบบทดสอบเดิมๆ มันเลยเข้ามาไม่หยุดอุปสรรคนี้ไปได้เลย ทำให้รู้ว่ามันผ่านได้เท่านั้นเอง”